"ใจ" ในการทำ KM เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าไม่มีใจก็ไม่สามารถทำงานดังที่ตั้งเป้าได้เลย
ก่อนเข้ามาทำงานที่สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
บอกตามตรงคะว่าไม่เคยรู้จักคำว่า Knowledge Management (KM) เลย
แต่พอตั้งแต่เริ่มแรกที่ดิฉันได้เข้ามาทำงานที่นี่ก็ได้ยินคำนี้จนติดหูและพอได้เข้าไปที่เวปไซด์
www. Gotoknow.org
ก็มีหลายคนได้แสดงความคิดเห็นต่างๆในบล็อกของตัวเองและมีหลากหลายความคิดที่แสดงให้เราเริ่มรู้สึกว่า
KM มีประโยชน์และมีความสำคัญในองค์กรของพวกเค้าเหล่านั้นจริงๆ
หลายคนแสดงความคิดเห็นในแง่มุมที่น่าสนใจ
ทำให้ตัวดิฉันเองที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก พอจะเห็นรูปร่างของมันบ้างแล้ว
ว่า KM
คือกระบวนการที่จะต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันภายในองค์กรในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่คนเหล่านั้นสนใจที่จะจัดการความรู้นั้นๆ
เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แต่ในการจะจัดทำ KM
นั้นจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ตอบโจทย์ของตัวเองได้ว่ามีเป้าหมายเพื่ออะไร
และมีกลุ่มคนที่มี"ใจ" เป็นอันดับแรกจะจัดทำด้วย
ซึ่ง "ใจ"
ในการทำ KM เป็นสิ่งที่สำคัญ
เพราะถ้าไม่มีใจก็ไม่สามารถทำงานดังที่ตั้งเป้าได้เลย
และการที่ผู้บริหารระดับสูงซึ่งก็คือ "คุณเอื้อ" ให้ความสำคัญในการที่จะทำ
KM อย่างจริงจัง ทำหน้าที่เป็นคุณเอื้อให้สมบูรณ์
ก็คือการเอื้อให้เกิดการจัดการความรู้ และยังมี"คุณอำนวย" "คุณประสาน"
"คุณกิจ" และ
"คุณลิขิต" และซึ่งแรกๆ ดิฉันก็งงคะว่า
ท่านทั้งหลายคือใคร แต่ตอนนี้ก็ถึงบางอ้อแล้วคะ
เห็นได้จากกรณีที่ดิฉันได้มีโอกาสไปดูงานที่บริษัท Toyota
Motor(Thailand)
และเป็นโอกาสอันดีมากที่ได้เห็นกระบวนการผลิตรถไฮลักซ์
วีโก้ที่บอกว่ามียอดขายอันดับหนึ่งเป็นอย่างไร
บอกได้คำเดียวว่าเยี่ยมยอดมาก
ตั้งแต่ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนความรู้กับพนักงานภายในบริษัท
เห็นความพร้อมมือพร้อมใจที่จะช่วยให้บริษัทดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและเติบโตอย่างมาก
การหาข้อบกพร่องในแต่ละหน่วยงานย่อยเพื่อทำให้ หน่วยอื่นๆ
ทำงานต่อได้อย่างสมบูรณ์ และการมีกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ
มีแบบแผน
ให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนเพื่อสร้างให้เจริญก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน
รวมทั้งการสร้างวัฒนธรรมภายในองค์กร เช่น
การประชุมของพนักงานทุก 4 โมงเย็นเพื่อรับฟังปัญหาและแก้ไข
โดยเปิดโอกาสให้พนักงานใน section นั้นๆ
แสดงความคิดเห็นเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เกิดความคล่องตัวและเกิดความรวดเร็ว
และถ้าพนักงานคนใดสามารถชี้จุดบกพร่องและเสนอความคิดเห็นก็จะได้รับรางวัล
ซึ่งอาจจะเป็นการประกาศว่าเป็นพนักงานดีเด่นแห่งเดือนซึ่งจะมีผลต่อการประเมินการทำงาน
หรือการได้รับรางวัลสูงสุดคือเงินสด 5000 บาท
อาจเป็นแรงจูงใจสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พนักงานทุกคนตั้งใจทำงาน
ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้คือกระบวนการหนึ่งที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กันในสายงานนั้นๆ
จากการไปดูงานครั้งนี้ ดิฉันเห็นว่าที่นี่ใช้กระบวนการ KM
ได้เนียนมากจริงๆ ทุกกระบวนการจะมี KM
แทรกสอดอยู่ทุกอณูของชิ้นงาน ตั้งแต่ผู้บริหาร พนักงาน
ซึ่งทุกคนมีโอกาสพัฒนางานของตนให้สูงขึ้นได้
อาจจะบอกได้ว่า KM
มีหลายส่วนที่ประกอบกัน ส่วนทักษะ ส่วนการปฏิบัติ และส่วนทัศนคติ
ซึ่งทางสคส. จะใช้โมเดล "ปลาทู" ในการอธิบาย
ซึ่งดิฉันก็พอจะเล่าอย่างคราวๆ ว่า ที่ใช้ปลาทูเพราะว่า มี 3
ส่วนที่เป็นองค์ประกอบ นั่นคือหัวปลา ตัวปลา และหางปลา
หัวปลาก็คงจะหมายถึง มีเป้าหมายอะไร ทำเพื่ออะไร
ตัวปลาคือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และหางปลาคือการสร้างทั้งคลังความรู้และเครือข่าย
และที่สำคัญคือการต่อยอดความรู้ แต่ขณะนี้ดิฉันก็เริ่มเห็นทั้ง 3
ส่วนแล้วจากการไปดูงานตามที่ต่างๆ
แต่ก็ยังไม่ชัดเจนมากนะคะเพราะพึ่งเริ่มมาทำงานที่นี่ยังไม่ครบเดือน
คงต้องใช้เวลาในการศึกษาและสั่งสมประสบการณ์ซักพักคะ
และดิฉันเองก็รู้สึกว่า KM เป็นกระบวนการที่มีประโยชน์ต่อทุกคน
ต่อหน่วยงานต่างๆเป็นอย่างมาก จากกรณีที่ได้มีโอกาสไป
KM สัญจร ครั้งที่ 3 ที่จังหวัดบุรีรัมย์
จะขอเล่าส่วนประทับใจบางส่วน บางตอนที่ได้มีโอกาสสัมผัสนะคะว่า
การไปดูงานครั้งนี้ดิฉันได้พบกับพ่อสำเริง เย็นรัมย์
ที่หมู่บ้านหัวฝาย กิ่งอ.
แคนดง ซึ่งเป็นหัวหน้าฐานคนเดียวที่มีการศึกษาน้อย
ไม่สามารถเขียนหนังสือได้
แต่มีความมุมานะที่จะแสวงหาความรู้เพื่อการทำงานของตนเองอยู่ตลอดเวลา
และพ่อสำเริงเป็นเกษตรกรและจัดทำการเกษตรแบบพอเพียง
เน้นการพึ่งตนเอง โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทน
และใช้ KM เป็นเครื่องมือในการทำงาน
พ่อสำเริงทำเกษตรแบบผสมผสานคือปลูกพืช (ปลูกกล้วย ขนุน น้อยหน่า
มะละกอ) ร่วมกับเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา
(ปลานิน ปลาทับทิม ปลาสวาย ปลายบึก) และมีลูกฐานอยู่อีก 5 คน
ซึ่งพ่อสำเริงคัดเลือกลูกฐานจาก "ความสนใจ ขยัน และมีหัวใจสู้
จริงๆ " ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหลัก
และจากการพูดคุยกัน พ่อสำเริงเล่าว่า
ได้ทำการเกษตรแบบลองผิดลองถูกอยู่นานก่อนที่จะเข้าโครงการ KM
และเมื่อเข้าโครงการ KM แล้วก็เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มอื่นๆ
ทำให้ความรู้ที่ได้จากการประชุมที่บ้านครูบาสุทธินันท์แต่ละครั้ง
ลองนำมาปฏิบัติกับแปลงเกษตรของตน และเริ่มเห็นผลผลิต เจริญงอกงาม
เติบโตดี ก็นำมาบอกแก่ลูกฐาน
และจากการประชุมทุกครั้งพ่อสำเริงจะให้ลูกฐานคนหนึ่งเป็นคนจดบันทึก
ซึ่งการบันทึกนี้จะเป็นเครื่องมือของกระบวนการความคิด การรวบยอด
และเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการจัดการความรู้
ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเพราะการบันทึกนี่แหละจะเห็นวิวัฒนาการของการทำงานของตนเอง
ซึ่งพ่อสำเริงก็ได้จดบันทึกทุกครั้งที่เข้าประชุม
เพราะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างลูกฐานและช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
การเกิดการรวมกลุ่มกันนี้ทำให้ดิฉันเห็นว่า
ช่วยสร้างระบบการทำงานให้เกิดประโยชน์สุงสุด เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้น
ทุกคนก็ช่วยกันระดมความคิดได้มากมายและหลากหลาย
จึงเป็นประโยชน์ในการแก้ไข เข้าตำราที่ว่า
"หลายหัวดีกว่าหัวเดียว" จากการที่พ่อสำเริงใช้
KM เป็นเครื่องมือนี้ ส่งให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนกับลูกฐาน
ลูกฐานสามารถนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาในแปลงเกษตรของตน
เกิดผลเจริญงอกงาม
และในแง่มุมหนึ่งดิฉันได้รับจากการพูดคุยกับลูกฐานข้อหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สึกถึงพลังในตัวลูกฐาน
และอิ่มเอิบใจคือทำแล้วมีความสุข สุขที่จะได้รับจากการได้ทำ
มีผลผลิตทางการเกษตรดี อยู่สบายไม่อด พอมีพอกิน ไม่ลำบาก
อยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว
โดยไม่ต้องร่อนเร่สร้างอาชีพที่เมืองกรุง ได้อยู่อาศัยที่บ้านเกิด
ฟังแล้วรู้สึกภูมิใจแทนเค้า
ยินดีกับความสำเร็จที่เค้าได้รับ
ดิฉันมีความคิดว่าการที่จะขับเคลื่อนการจัดการความรู้ได้ก็อยู่ที่ทุกคนขององค์กรที่จะช่วยเหลือกันด้วยแรงใจมุ่งมั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
โดยไม่ย่อท้อ พร้อมทั้งการเชื่อมร้อยเครือข่าย
เกิดเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในแต่ละส่วนให้เป็นแรงในการขับเคลื่อน
KM ไปอย่างมีจุดมุ่งหมายและขยายความเชื่อมโยงนั้นไปอย่างทุกทิศทุกทาง
ทุกหนทุกแห่ง ก็เกิดการจัดการความรู้ของประเทศได้คะ