(4 มี.ค. 49) ไปบรรยายหัวข้อ “เจตนารมณ์อันแน่วแน่ต่อการพัฒนาที่ยังยืน”
ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2548 ของ “สมาคมเครือข่ายพัฒนาชีวิตครู (ประเทศไทย)
จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอาจารย์พงศักดิ์ ธีระวรรณสาร
เป็นนายก (จังหวัด) (0-9153-3172)
ได้บรรยายโดยมีสาระสำคัญดังนี้
แนวทางสำคัญในการพัฒนาชีวิตครู
(แก้ปัญหาหนี้สินครู)
ระดับจังหวัด
1. การมีทัศนคติพึ่งตนเองและร่วมมือกัน บนฐานของ “ความดี” และ
“ความสามารถ”
2. การเรียนรู้และพัฒนาร่วมกันผ่านการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
3. การเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสานความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์
4. การมีกลไก กระบวนการ
และปัจจัยเอื้ออำนวยที่เหมาะสมและมีคุณภาพพร้อมประสิทธิภาพ
5. การมีนโยบายในด้านต่างๆทุกระดับที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาชีวิตครู
(แก้ปัญหาหนี้สินครู) ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ข้อเสนอแนะวิธีดำเนินการ
(ในระดับจัหวัด)
1. อาศัยเครือข่ายระดับจังหวัดที่มีอยู่แล้วเป็นฐานดำเนินการ
2. จัดให้มี “คณะทำงาน”
ที่มุ่งมั่นจริงจังอย่างต่อเนื่องในการที่จะนำความสำเร็จมาสู่ขบวนการพัฒนาชีวิตครูของจังหวัดสมุทรปราการ
3. ดำเนินการ “จัดการความรู้” อย่างมีคุณภาพ
ให้บังเกิดผลดีอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมกับการเชื่อมโยงขยายวงไปเรื่อยๆ
ทั้งภายในจังหวัดและข้ามจังหวัด
4. จัดให้มีงบประมาณสนับสนุนกิจกรรม “จัดการความรู้”
และอื่นๆโดยมุ่งพึ่งตนเองเป็นหลักก่อน เช่นนำเงิน 5% ของ 1%
ที่ได้จากธนาคารออมสินมาใช้เพื่อการนี้และอาจเสนอให้
ธนาคารธนาคารออมสินร่วมสมทบในจำนวนใกล้เคียงกันหรือมากกว่ากับขอให้
สกสค.
และหรือกระทรวงศึกษาธิการสมทบเป็นเงินหรืออย่างอื่นอีกทางหนึ่งด้วย
5. จัดให้มีการศึกษาข้อเท็จจริง สถานการณ์ ปัญหา ฯลฯ
อยู่เป็นประจำ
พร้อมกับการหารือเจรจากับผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีที่เป็นประเด็นหรือปัญหา
เพื่อหาข้อยุติที่พึงพอใจหรือยอมรับได้ร่วมกัน
6. ดำเนินการให้มีการเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์กับขบวนการพัฒนาชีวิตครู
(แก้ปัญหาหนี้สิ้นครู) ในระดับกลุ่มจังหวัด ระดับภาค และระดับชาติ
7. เข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินการระดับชาติเท่าที่มีโอกาส
เป็นไปได้ และเหมาะสม
เอกสารประกอบการบรรยาย
ได้นำบทสัมภาษณ์ในวารสาร “NewSchool” (สานปฏิรูป) ฉบับธันวาคม
2548 คอลัมน์ “ชีวิตกับการเรียนรู้
091” เรื่อง ไพบูลย์วัฒนศิริธรรม ‘ฟันธง’ ทางออกของปัญหาหนี้สินครู “เงินไม่ใช่ปัญหา
หากเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ปล่อยแล้วได้คืน”
ซึ่งมีข้อความในบทสัมภาษณ์ดังนี้
เรื่อง
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ‘ฟันธง’
ทางออกของปัญหาหนี้สินครู
หนี้สินครูเป็นปัญหาเรื้อรังที่รัฐบาลทุกยุคสมัยต่างหาเสียงว่าจะแก้ไขให้ได้
เมื่อพูดมากกว่าทำ เมื่อสร้างหนี้มากกว่าชำระหนี้
ปัญหาจึงหมักหมมมานานนับสิบปี
และตกทอดมาจึงถึงรัฐบาลปัจจุบัน
คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ผู้หักเหชีวิตจากนายธนาคารเอกชนมาทำงาน
“เอ็นจีโอ” พัฒนาสังคม
สั่งสมประสบการณ์ทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนยากไร้ทั้งหลาย
เมื่อกลับเข้าสู่เส้นทางธนาคารอีกคำรบหนึ่งในฐานะผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ในปี 2542 ได้ริเริ่มโครงการ “พัฒนาชีวิตครู”
ร่วมกับเครือข่ายครูและกระทรวงศึกษาธิการ
มุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตครูจากที่เคยติดลบให้เป็นบวก
เพื่อทำงานสร้างสรรค์ให้กับเด็กและวงการศึกษาได้อย่างมั่นคง
บัดนี้ โครงการพัฒนาชีวิตครูได้ดำเนินงานมาแล้ว 5 ปี
ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่าสี่หมื่นล้านบาท
ให้กับครูประมาณห้าหมื่นชีวิต
ทว่ายังมีครูอีกนับแสนที่ต้องการสินเชื่อเพื่อปลดเปลื้องหนี้สินรวมกว่าแสนล้านบาท
ปัจจุบัน คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เป็นที่ปรึกษาโครงการพัฒนาชีวิตครูและมีความห่วงใยการดำเนินงานแก้ไขปัญหาหนี้สินครู
จึงให้เกียรติสัมภาษณ์ทีมงานวารสาร NewSchool
เพื่อเสนอแนะทางออกที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดสำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ครู
ดังความตอนหนึ่งที่ท่านฟันธงว่า “เงินไม่ใช่ปัญหา
หากเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ปล่อยแล้วได้คืน”
และต่อไปนี้คือแนวทางและข้อเสนอแนะในการจัดการสินเชื่อสำหรับครูอย่างมีคุณภาพ
คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เป็นผู้ที่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นพิเศษ
ท่านได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจว่า
หนี้ครูถือว่าสำคัญ เพราะครูเป็นบุคลากรสำคัญต่อสังคม
เป็นผู้ที่ดูแลให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งสติปัญญา
อารมณ์ จิตใจ และสุขภาพด้วย ดังนั้นครูจึงมีความสำคัญมาก
ครูจะทำหน้าที่ได้ดีก็ต่อเมื่อครูมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ
มีชีวิตมั่นคง มีจิตใจมั่นคง การมีจิตใจที่ดีจะช่วยให้ปัญญาดี
ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
สิ่งที่ส่งไปถึงเด็กไม่ใช่แค่คำพูดที่ไปจากบทเรียนหรือคำสอน
แต่จะไปทั้งตัวของครู ทั้งกิริยาท่าทางการแสดงออก
สิ่งที่มาจากส่วนลึกของหัวใจครูจะดีไม่ได้ถ้าข้างในของครูยังมีความเดือดร้อน
ครูควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ใช่เฉพาะคำสอน
แต่ต้องเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
ครูควรจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จกับชีวิต
จึงจะเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนได้
…ดังนั้นการที่ครูมีปัญหาหนี้สินมาก
จนกลายเป็นความทุกข์ยากของครูจำนวนแสนๆ
คงต้องถือเป็นวิกฤตไม่ใช่เฉพาะของครู
แต่ต้องถือว่าเป็นวิกฤตของการศึกษาไทย ควรต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
และพัฒนาให้ครูมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง มีจิตใจปลอดโปร่ง
เพื่อให้ทำหน้าที่ครูได้อย่างดีที่สุด
ล้อมกรอบ
“หนี้ครู…ถือว่าเป็นวิกฤตของการศึกษาไทย ควรต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
และพัฒนาให้ครูมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง มีจิตใจปลอดโปร่ง
เพื่อให้ทำหน้าที่ครูได้อย่างดีที่สุด”
มุมมองต่อสาเหตุที่ปัญหาหนี้ครูมีการสั่งสมหมักหมมมานานคุณไพบูลย์ได้วิเคราะห์ด้วยความเข้าใจว่า
…ครูจำนวนมากมาจากครอบครัวที่อัตคัด ฐานะพื้นฐานไม่ดี
เมื่อเกิดปัญหาหรืออุบัติเหตุในชีวิต เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย
ประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย หรือบางครั้งต้องจำเป็นใช้รถ
ก็จะทำให้ตกอยู่ในบ่วงของหนี้สินได้ง่าย
ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่ไม่ระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายใช้จ่ายเกินความสามารถในการหารายได้
ทำให้เกิดปัญหาหนี้สิ้น เมื่อพอกพูนขึ้นก็หยิบตรงนี้ไปให้ตรงโน้น
ยืมที่นั่นมาใช้ตรงนี้ไปคืนที่นั่น หนี้สินจึงพอกพูนมากขึ้นๆ
…ครูเป็นอาชีพที่มีรายได้ไม่สูงอยู่แล้ว
ถ้าจะอยู่ได้ต้องประหยัดมัธยัสถ์ใช้จ่ายอย่างพอประมาณ ขยันหมั่นเพียร
แล้วต้องมีอาชีพเสริมบ้าง
ซึ่งแล้วแต่สถานการณ์และโอกาสที่เหมาะสมของแต่ละคน
โดยทั่วไปต้องยอมรับว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่รายได้ไม่สูงเลย
ทำให้ครูสามารถตกหลุมวังวนของหนี้สินได้ง่าย
เป็นภาวะที่น่าเห็นใจ
ล้อมกรอบ
“หนี้ที่มีปัญหาคือหนี้ที่สะสม กดดันชีวิตครู ประเภทชักหน้าไม่ถึงหลัง
เงินเดือนไม่พอใช้
…มีประมาณแสนล้านบาท”
ก่อนที่จะเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาหนี้ครูนั้น
คุณไพบูลย์มองว่า
ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะแก้ปัญหาหนี้ครูน้อยและยังไม่เป็นระบบ
เพราะ
…รัฐบาลในอดีตพยายามแก้ปัญหาหนี้สินครูด้วยการสร้างกองทุนแต่จำนวนไม่มาก
เริ่มต้นไม่ถึงพันล้าน ตอนหลังเติมเข้ามารวมเป็นพันกว่าล้าน
ซึ่งไม่พอที่จะแก้ปัญหาหนี้ครูได้
…หนี้ครูนั้นมีสองประเภท คือหนี้ที่มีปัญหา
กับหนี้ปกติหรือหนี้ที่สามารถจัดการได้
หนี้ที่มีปัญหาคือหนี้ที่สะสม กดดันชีวิตครู ประเภทชักหน้าไม่ถึงหลัง
เงินเดือนไม่พอใช้ หนี้ที่มีปัญหาในวงการครูมีประมาณแสนล้านบาท
อาจจะบวกลบประมาณสองสามหมื่นล้าน
ดังนั้น
การที่รัฐบาลตั้งกองทุนขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนเพียงหลักพันล้านบาทจึงเทียบไม่ได้กับขนาดของปัญหา
กองทุนนั้นใช้บรรเทาการแก้ไขเฉพาะหน้าได้เพียงเล็กน้อย
โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ดูแลให้ครูได้กู้ยืมไป
เข้าใจว่าคนหนึ่งอาจได้ประมาณหมื่นสองหมื่น
แล้วก็ต้องชำระคืนซึ่งทำมาหลายปีแล้ว มีส่วนช่วยผ่อนคลายปัญหาได้บ้าง
แต่ไม่ได้แก้ปัญหา
…ที่จริงสหกรณ์ออมทรัพย์ครูควรจะเป็นสถาบันการเงินของครูเพื่อครู
ป้องกันปัญหา สร้างความมั่นคงทางการเงินและทรัพย์สินให้กับครู
แต่ในความเป็นจริง
สหกรณ์ออมทรัพย์ครูไม่สามารถทำให้ครูมีความมั่งคงทางการเงินได้มากนัก
อาจจะมีครูจำนวนหนึ่งที่ทำได้บ้าง ครูจำนวนมากทำไม่ได้
แต่กลับมาเป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู
เหตุที่เป็นหนี้เพราะครูใช้สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นแหล่งกู้ยืมในยามขัดสน
แต่อาจไม่พอเพียงต้องไปกู้นอกระบบ หนี้สินยิ่งพอกพูนมากขึ้น
ทำให้หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ก็ใช้คืนไม่ได้ หรือไม่ก็หมุนไปหมุนมา
ไม่สามารถเป็นไทแก่ตัว
…รวมความแล้วยังไม่มีระบบการแก้ปัญหาหนี้ครูที่จริงจังและมีพลังพอ
จึงเป็นเหตุให้ครูต้องใช้ความพยายามดิ้นรนแก้ปัญหากันเอง
คุณไพบูลย์
เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครู
เมื่อครั้งที่ท่านเป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ว่า
…วันหนึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการมาขอคำปรึกษากับธนาคารออมสิน
ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเข้ามาเป็นผู้อำนวยการได้ไม่นาน
ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินเห็นว่าคงจะยาก เพราะเป็นปัญหาใหญ่มาก
ไม่เคยมีธนาคารที่ไหนรับอาสาทำ
…ในช่วงนั้นผมกำลังทำงานเกี่ยวกับหนี้สินของชาวบ้าน ซึ่งมีมากพอๆ
กับหนี้ครู
ได้เห็นการทำงานของชาวบ้านในการแก้ปัญหาเรื่องหนี้ของตัวเองโดยการรวมตัวกันจนเกิดพลังกลุ่ม
ได้เห็นการจัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อแก้ปัญหาทางการเงินของชาวบ้านจนประสบความสำเร็จ
กลุ่มออมทรัพย์ของชาวบ้านก็เทียบเท่ากับกลุ่มออมทรัพย์ของครู
นั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นสถาบันที่ไม่ได้จดทะเบียน
ผมจึงมีความคิดว่าน่าจะมีทางแก้ปัญหาหนี้สินครูได้
ถ้ามีการรวมพลังแก้ปัญหาหนี้สินครู
ทำนองเดียวกันกับที่ชุมชนรวมพลังกัน แล้วให้ครูมีบทบาทให้การแก้ปัญหา
ไม่ใช่ให้ใครไปแก้ปัญหาให้ คือต้องช่วยให้ครูแก้ปัญหาของครู
ไม่ได้ไปแก้ปัญหาให้เขา
…ด้วยความคิดเช่นนี้จึงชวนครูมาพูดคุยกันว่าเรามาช่วยกันหาทางแก้ปัญหา
โดยครูเป็นหลักในการแก้ปัญหา
กระทรวงศึกษาธิการต้องเข้ามาช่วยบริหารในฐานะเป็นหน่วยงานต้นสังกัด
ธนาคารออมสินจะสนับสนุนด้านการเงิน
แต่สามฝ่ายจะต้องรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นและต่อเนื่อง
ครูเองยิ่งจำเป็นต้องรวมพลังกันอย่างเหนียวแน่น เป็นกลุ่มเล็ก
กลุ่มใหญ่ ทำกันเป็นเครือข่ายแล้วเชื่อมโยงกัน
การคิดเช่นนี้ถือเป็นเรื่องใหม่
เพราะที่แล้วมาการแก้ปัญหาหนี้สินจะมองปัญหาเป็นรายบุคคล
ไปช่วยแก้เป็นรายบุคคล โดยเอาตัวเงินเป็นหลัก
ไม่ได้เอาคนเป็นหลัก
…ทั้งสามฝ่ายได้พูดคุยกันประมาณ 6 เดือน
จนกระทั่งตกผลึกความคิดเกี่ยวกับปรัชญา ความคิด หลักการ
และวิธีการดำเนินงาน กฎกติกาต่างๆ
จากนั้นได้ทำบันทึกข้อตกลงกันสามฝ่าย
โดยส่วนของการกู้หนี้ยืมสินจะเป็นไปตามข้อบังคับของธนาคารออมสิน
ส่วนการหักเงินเดือนและการสร้างระเบียบวินัยเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ
จากนั้นเราจึงเริ่มโครงการพัฒนาชีวิตครู
ซึ่งจะใช้วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกิดความชัดเจน
โดยเริ่มจากจังหวัดหนึ่งก่อน ทยอยเพิ่มทีละจังหวัดจนครบ 4 ภาค
แล้วค่อยๆ ขยายไปทีละจังหวัด เริ่มจากจังหวัดที่พร้อม
คือมีครูที่เข้าใจโครงการ รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยประมาณ 10 คน หลายๆ
กลุ่มย่อยรวมกันเป็นเครือข่าย
เราเรียกว่าว่ากลุ่มใหญ่ระดับอำเภอและระดับจังหวัด เราใช้เวลา 2
ปีแรกในการขยายจากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่งจนครบทั้งประเทศ
เป็นการเริ่มที่ช้าแต่มั่นคง ปีแรกปล่อยเงินกู้ไปนับล้านบาท
พอปีที่สองและสามเริ่มขยายตัวเร็ว
จนกระทั่งปัจจุบันได้ปล่อยเงินกู้ไปแล้วถึงสี่หมื่นกว่าล้านบาท
ให้กับครูประมาณกว่าห้าหมื่นคน
คุณไพบูลย์ ได้อธิบายหลักการสำคัญของโครงการพัฒนาชีวิตครูหลายประการ
มีพื้นฐานวิธีคิดอยู่ที่การพัฒนาตัวเองเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นหนี้อีกครั้ง
ซึ่งคุณไพบูลย์ชี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
และน่าเป็นห่วงเนื่องจาก
…เรื่องสำคัญที่ได้เน้นไว้ตั้งแต่เบื้องต้นคือ กิจกรรมพัฒนา
รวมถึงการพัฒนาตัวเอง พัฒนากลุ่ม พัฒนาเครือข่าย
กิจกรรมพัฒนานี้ต้องมีกระบวนการ มีวิธีการ มีการจัดการ และมีงบประมาณ
น่าเสียดายว่ากระบวนการพัฒนาไม่ได้เป็นไปอย่างราบเรียบและต่อเนื่อง
คือเริ่มต้นทำไปบ้างแล้ว แต่ไม่ได้ทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมื่อเริ่มโครงการนี้ได้ไม่นาน
ผมก็พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จึงไม่ได้ดูแลกำกับต่อไป
ความเข้มข้นเรื่องนี้ก็ลดลงไปบ้างตามธรรมชาติ
…การที่จะให้ครูรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นหลายหมื่นคนไม่ใช่เรื่องง่าย
ต้องใช้ความพยายามและต้องมีกลไกทำงานเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ประกอบกับเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของทางฝ่ายกระทรวงศึกษาธิการ
ทั้งหน่วยงานส่วนกลางและเขตพื้นที่ก็ยังไม่ลงตัว
ทำให้ไม่มีสมาธิกับการแก้ปัญหาหนี้ครูเท่าที่ควร
ดังนั้นการที่จะทำให้ 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายครู ฝ่ายกระทรวงฯ
และธนาคารออมสินประสานกันเป็นระบบ ช่วยกันทำกิจกรรมพัฒนา
จึงทำไม่ได้มากนัก
ในขณะเดียวกันกิจกรรมสินเชื่อก็ทำงานเดินหน้าไปเรื่อยๆ
ดังนั้นจึงเกิดปัญหาขึ้น ในเชิงปริมาณมีการเติบโตไปเรื่อย
แต่กิจกรรมพัฒนาของครู กลุ่มครู และเครือข่ายครู ยังไม่เข้มแข็ง
ไม่ทันกับการเติบโตทางปริมาณสินเชื่อ
ซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงเป็นจุดอ่อนของโครงการนี้
ล้อมกรอบ “
สินเชื่อที่ธนาคารออมสินให้กับครูนั้นถือว่าเป็นสินเชื่อที่ดีที่สุด
เป็นสินเชื่อที่ใหญ่ที่สุดที่ให้กับคนกลุ่มเดียว
”
หัวใจสำคัญของการบริหารสินเชื่อคือ ทำให้ลูกหนี้เข้มแข็ง
มีกำลังที่จะชำระหนี้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
คุณไพบูลย์เปิดเผยเคล็ดลับความสำเร็จของโครงการดังนี้
…หลักการของโครงการนี้มุ่งที่จะให้ครูแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน
โดยการสร้างคุณภาพของการเป็นหนี้ให้ครูสามารถชำระหนี้สินคืนได้
ส่งเสริมให้เกิดการออม ให้ครูทำงานเป็นเครือข่ายดูแลซึ่งกันและกัน
ค้ำประกันซึ่งกันและกัน ชำระคืนด้วยระบบหักเงินเดือน
แต่ละกลุ่มจะต้องจัดตั้งกองทุนของกลุ่มเพื่อสะสมเงินทุกเดือน
เวลาคนในกลุ่มมีปัญหาก็จะใช้เงินส่วนที่สำรองไว้จุนเจือ
เช่นหากครูหนึ่งคนมีปัญหา
แทนที่จะให้ครูคนนั้นประสบกับสภาพที่ชำระหนี้ไม่ได้
กลุ่มจะไปช่วยให้ครูคนนั้นแก้ปัญหาได้
ด้วยการเอาเงินสำรองให้ครูคนนั้นนำไปชำระหนี้ได้ชั่วคราว
แล้วก็ช่วยให้ครูคนนั้นกลับมาดีได้
…ทางออมสินยังได้สร้างระบบแรงจูงใจ คือกลุ่มที่มีตั้งแต่ 50
คนขึ้นไปซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่หากมีการชำระหนี้คืนได้ 100% ในรอบปี
ธนาคารจะคืนดอกเบี้ยให้ 1% เป็นแรงจูงใจ
ซึ่งมีกลุ่มเครือข่ายครูจำนวนไม่ใช่น้อย หรือเกือบทั้งหมดที่ทำได้
จำนวนเงินที่คืนให้นับเป็นร้อยล้านๆ บาทต่อปี
ทำให้ครูมีแรงจูงใจที่จะทำดี แล้วก็ได้งบที่จะไปทำกิจกรรมการพัฒนา
แต่เนื่องจากระบบการพัฒนายังไม่ดีเท่าที่ควร
ในบางพื้นที่งบนี้จึงกลายเป็นสาเหตุให้ทะเลาะกัน ซึ่งน่าเสียดาย
เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ส่งผลให้กระบวนการพัฒนาที่น่าจะราบรื่นมั่นคงดีแล้ว เกิดสะดุดขึ้น
แต่ปัญหานี้ไม่ถึงกับวิกฤต ยังพอแก้ไขได้
…การดำเนินงานทั้งหมดเหล่านี้ทำให้การที่ธนาคารออมสินปล่อยกู้ให้ครูเป็นหนี้ที่ดี
ธนาคารออมสินได้ผลตอบแทน แม้จะคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติเล็กน้อย
กล่าวคือมีสูตรว่าถ้าคิดกับคนอื่นเท่าไรก็จะคิดครูน้อยกว่าคนอื่น 1%
หรือน้อยกว่านั้น แล้วยังคืนให้อีก 1 % ถ้ากลุ่มนั้นชำระหนี้ได้ดี
เป็นแรงจูงใจเพื่อแลกกับการที่ออมสินไม่ต้องเป็นภาระหนี้สูญ
ผู้ตรวจสอบจากแบงก์ชาติได้พูดทำนองว่าสินเชื่อที่ธนาคารออมสินให้กับครูนั้นถือว่าเป็นสินเชื่อที่ดีที่สุด
เป็นสินเชื่อที่ใหญ่ที่สุดที่ให้กับคนกลุ่มเดียว
โดยให้ไปแล้วตั้งสี่หมื่นกว่าล้านบาท
เมื่อพิจารณาจากปริมาณครูและเงินที่เป็นหนี้แล้วยังมีความต้องการอีกมาก
ทีมงานวารสาร NewSchool จึงเรียนถามถึงความเป็นไปได้ที่จะการแสวงหาแหล่งสินเชื่อใหม่ให้กับครู
…เป็นไปได้ครับ ถ้าธนาคารออมสินทำได้ ธนาคารอื่นก็น่าจะทำได้เช่นกัน
เพียงแต่ว่าควรจะใช้หลักการและวิธีการคล้ายๆ กับที่โครงการนี้ทำ
คือเน้นให้ครูเป็นคน แก้ปัญหาให้ตัวเอง มีการรวมกลุ่ม
ค้ำประกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นต้น
เพียงแต่ว่าขณะนี้ยังไม่มีธนาคารใดสนใจที่จะเข้ามาร่วม
เคยถามธนาคารกรุงไทยแล้ว
เขาเห็นว่าเมื่อออมสินทำได้ดีอยู่แล้วน่าจะปล่อยให้ออมสินทำต่อไป…
…ผมว่าถ้าการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้คุ้มกับธนาคารออมสิน
ธนาคารอื่นก็คุ้ม
เพราะทุกวันนี้ธนาคารออมสินกับธนาคารอื่นต่างแข่งขันกันบนพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน
อยู่แล้ว แม้ว่าธนาคารออมสินไม่ต้องเสียภาษี
แต่ถ้ามีกำไรก็ต้องจ่ายให้รัฐ จึงไม่ต่างจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
…ในช่วงไม่นานมานี้ทาง รมช. ดร.รุ่ง แก้วแดง
ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้แก้ปัญหาหนี้สินครูให้หมด
ในขณะนี้ออมสินได้แก้ไปส่วนหนึ่งคือห้าหมื่นกว่าคนแล้ว
มีการประมาณว่าจำนวนครูที่เป็นหนี้มีไม่ต่ำกว่าแสนคน
บางคนประมาณว่าถึงสองแสนคนด้วยซ้ำไป
นั่นหมายถึงว่าถ้าจะแก้ปัญหาให้หมดก็ต้องเพิ่มความพยายามเข้าไปให้มากขึ้น
จึงมีการพิจารณากันว่าน่าจะมีธนาคารอื่นหรือสถาบันการเงินอื่นเข้ามาร่วมอีก…
…ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ขอให้สหกรณ์ออมทรัพย์เข้ามาร่วมให้สินเชื่อกับครู
ซึ่งผมเห็นด้วยว่าน่าจะเพิ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเข้ามาร่วมมือกันในการแก้ปัญหาหนี้
และร่วมกันสร้างความมั่นคงให้กับครู เพราะเป็นสถาบันของครู
เป็นแหล่งเงินทุนที่ครูกู้ยืมเงินกันอยู่แล้ว
ถ้ามาทำโครงการด้วยกันจะได้เป็น 4 ฝ่าย คือกระทรวงศึกษาธิการ
เครือข่ายครู ธนาคารออมสิน โดยเพิ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเข้าไป
…สหกรณ์ออมทรัพย์ครูมีข้อดีคือเป็นสหกรณ์ของครู บริหารโดยครู เพื่อครู
ใกล้ชิดกับครู มีสหกรณ์อยู่ในทุกจังหวัด ซึ่งเป็นจุดแข็ง
ถ้ามาทำความตกลงกันร่วมกันได้จะเป็นพลังที่สำคัญ
เริ่มต้นต้องคิดหลักการสำคัญให้ชัดเจนก่อน เช่น
หลักการที่ให้ครูพึ่งตัวเอง ครูร่วมมือกัน มีการพัฒนาเป็นกิจกรรมสำคัญ
แล้วค่อยคิดวิธีการ
ส่วนรายละเอียดที่ว่ากลุ่มครูจะไปทำสัญญากับสหกรณ์ออมทรัพย์อย่างไร
สหกรณ์ออมทรัพย์จะหาแหล่งเงินกู้จากที่ไหนเพิ่มเข้ามา
ทั้งหมดนี้อยู่ในวิสัยที่ทำได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาบ้าง
ล้อมกรอบ
“กองทุนหมู่บ้านถือเป็นโครงการใหญ่ที่ทำทั่วประเทศ
เจ็ดหมื่นกว่าหมู่บ้าน แต่ว่าเป็นงานที่ง่ายกว่าการแก้ปัญหาหนี้ครู
ซึ่งสะสมเรื้อรังมานาน
เวลาแก้ปัญหาจึงต้องออกแรงมาก”
จากการย้อนทบทวนโครงการพัฒนาชีวิตครู
คุณไพบูลย์เห็นว่าสภาพการณ์ได้เปลี่ยนแปลงจากเมื่อแรกเริ่มทำโครงการไปมาก
ควรที่จะมีการปรับปรุงการดำเนินงานหลายด้านด้วยกัน
…โครงการพัฒนาชีวิตครูได้ทำมาประมาณ 5 ปีแล้ว
สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันได้มีประสบการณ์และบทเรียนมากขึ้น
จึงมีการเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
(สกสค.) พิจารณาปรับปรุงระเบียบ ข้อบังคับใหม่
ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา…
…ข้อบังคับที่ปรับปรุงใหม่จะสะท้อนปรัชญาและแนวคิดบางอย่างให้ดีขึ้นชัดเจนขึ้น
นำสู่การปฏิบัติได้ดีขึ้น
และหวังว่าจะมีการปรับปรุงกลไกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
มีสำนักงานบุคลากร
และงบประมาณที่จะไปดูแลกิจกรรมการพัฒนาให้ทำได้อย่างจริงจังและกว้างขวางต่อเนื่อง…
…ผมอยากให้ลองเปรียบเทียบกับเรื่องกองทุนหมู่บ้าน
ซึ่งง่ายกว่าเรื่องครู ยังต้องมีการออกกฎหมายมารองรับ
แล้วตั้งสำนักงานขึ้นมาเป็นองค์การพิเศษที่มีบุคลากรเป็นสิบๆ คน
มีงบประมาณเป็นร้อยล้านบาทที่จะบริหารกองทุนหมู่บ้านถือเป็นโครงการใหญ่ที่ทำทั่วประเทศ
เจ็ดหมื่นกว่าหมู่บ้าน
แต่ว่าเป็นงานที่ง่ายกว่าการแก้ปัญหาหนี้ครูซึ่งสะสมเรื้อรังมานาน
เวลาแก้ปัญหาจึงต้องออกแรงมาก
…จุดที่ผมอยากจะชี้คือว่าโครงการใหญ่อย่างนี้จำเป็นต้องมีคณะบุคคลดูแลต่อเนื่อง
เพราะที่ผ่านมาถือว่าโครงการพัฒนาชีวิตครูเป็นโครงการที่บริหารโดยกลไกปกติ
ซึ่งคนทำงานนี้ต่างมีงานประจำอื่นๆ อยู่แล้ว
เอาเวลามาประชุมกันเป็นครั้งคราว ไม่สามารถทำงานต่อเนื่องได้
ทำให้มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สะสม พอมากเข้าก็กลายเป็นปัญหา
อีกทั้งคนทำงานของทุกฝ่ายต่างมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
งานจึงไม่เดินหน้า
…ผมคิดว่ามีเหตุผลมากมาย
และคุ้มเกินคุ้มที่จะลงทุนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษที่ว่าให้เกิดขึ้นจริงจัง
ใช้งบประมาณไม่ต้องมาก แม้กระทั่งจะใช้งบประมาณจากโครงการนี้
โดยกันส่วนหนึ่งจากที่ธนาคารออมสินคืนให้ ซึ่งมีตั้งหลายร้อยล้านบาท
มาใช้เพื่อการพัฒนา ก็ย่อมมีเหตุผล เพราะว่าเกิดประโยชน์กับครูโดยตรง
หรือใช้งบประมาณจากรัฐบาลก็ยังได้ เพราะใช้เงินเพียงแค่หลักสิบล้านบาท
ที่เกิดประโยชน์ต่อครูนับแสนคน
คุณไพบูลย์ ได้เสนอแนะว่า
หน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลรับผิดชอบการ
แก้ไขปัญหาหนี้สินครูเป็นการเฉพาะควรจะมีภารกิจหลักๆ 3 ด้าน
และควรมีคนระดับ “อธิบดี” มาดูแล
ดังนี้
…หากจะพัฒนากลไกการทำงานโครงการพัฒนาชีวิตครูให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมคิดว่ามีงานหลักๆ อยู่ 3 ด้าน
หนึ่ง
การสร้างความเข้มแข็งกลุ่มครูและเครือข่ายครู
เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มรวมตัวกันได้ดี แข็งแรงสามัคคี พึ่งตัวเอง
ร่วมมือกันทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาหนี้สินโดยตรงและในเรื่องอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครู พัฒนาวิชาชีพ
หรือแม้กระทั่งช่วยพัฒนาชุมชนได้
การที่กลุ่มจะเข้มแข็งต้องมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย
สานต่อจากระดับกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มใหญ่ จากระดับตำบลมาเป็นอำเภอ
จากอำเภอมาเป็นจังหวัด จังหวัดมาเป็นภาค จากภาคมาเป็นประเทศ
ต้องการกระบวนการพัฒนา มีการเก็บข้อมูล มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
มีการจัดการความรู้ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้จะต้องมีทีมกลางเข้ามาดูแล ไปส่งเสริมให้เกิดทีมในจังหวัด
ต้องไปสร้างกระบวนการดูแลพัฒนากลุ่มต่างๆ ให้
เข้มแข็งให้สามารถทำกิจกรรมพัฒนาได้ดี…
สอง งานด้านสินเชื่อ
ต้องมีการพัฒนาระบบการให้สินเชื่ออย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องการปล่อยกู้ แต่ต้องคอยดูแลเงื่อนไขข้อปฏิบัติต่างๆ
ให้เป็นไปได้ด้วยดี มีการปรับปรุงให้ทันกับสถานการณ์
งานส่วนนี้จะต้องเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ทำการปรึกษาหารือ
สร้างข้อตกลงร่วมกัน อะไรที่เป็นปัญหาเล็กๆ ก็แก้กันในจุดที่เป็นปัญหา
อะไรที่เป็นปัญหาด้านหลักการก็ต้องมาปรึกษาหารือที่จะแก้หลักการร่วมกัน
เป็นงานที่ต้องอาศัยกระบวนการ
เพราะว่าครูบางกลุ่มอาจต้องการยืดหยุ่นขยายเวลาชำระหนี้
ที่แล้วมาเป็นว่าธนาคารออมสินก็วางกติกาไป ทำได้ก็ทำ
พอทำไม่ได้ก็มีการเรียกร้อง แล้วเกิดข้อขัดแย้งกัน
ทำให้พลังที่จะเดินไปข้างหน้าอ่อนแอลง เพราะฉะนั้น
จะต้องมีการดูแลพัฒนาเงื่อนไขต่างๆ
เกี่ยวกับงานด้านสินเชื่อให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
ไม่ให้กระทบกับกิจกรรมการพัฒนา…
สาม
งานด้านกระทรวงศึกษาธิการ
เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างครูกับกระทรวงฯ ครูกับโรงเรียน
ครูกับชุมชน โยงมาถึงนโยบายจากกระทรวงฯ
เรื่องเหล่านี้ต้องมีการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์
ต้องดูแลเป็นอย่างดีเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหา
เพราะระบบทั้งหลายสัมพันธ์กัน ทางฝ่ายกระทรวงฯ
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
(สกสค.)
จะดำเนินการปรับปรุงพัฒนาสวัสดิการครูได้มากน้อยเพียงใดขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลด้วย…
…ปัจจุบันงานทั้งสามด้านหลักนี้ไม่มีใครดูแลจริงจัง
ดูแลกันเป็นครั้งคราว แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า คือตามหลังปัญหา
ไม่นำหน้าปัญหา หากมุ่งมั่นที่จะแก้ไข
ปัญหาหนี้ครูอย่างจริงจังต้องทำงานล้ำหน้าปัญหา โดยสร้างความเข้มแข็ง
สร้างระบบ สร้างโครงสร้าง สร้างกติกา สร้างเงื่อนไขที่ดี
สร้างความเข้าใจ สร้างความสามัคคี สร้างนวัตกรรมให้ก้าวหน้าอยู่เรื่อย
ในการนี้ต้องการทีมตรงกลางที่จะมาดูแล
ต้องได้คนระดับอธิบดีหรือเทียบเท่ามาดูแล
คือต้องเป็นผู้ใหญ่หน่อยว่างั้นเถอะ
เพราะต้องทำงานสัมพันธ์กับกระทรวงและรัฐบาล
ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องความรู้ความสามารถทางเทคนิคอย่างเดียว
แต่จะต้องมีสถานภาพเหมาะสม มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ ประสบการณ์
ความรู้ความสามารถเพียงพอ แล้วก็มีทีมงานที่เหมาะสม
ซึ่งไม่ต้องใหญ่มาก
เพราะเน้นการประสานงาน
เน้นความเป็น ผู้นำในเชิงหลักการ หลักคิด นโยบาย ยุทธศาสตร์ที่ดี
และกระจายงานไปในระดับภาค ระดับจังหวัด
ระดับท้องถิ่น…
ต่อข้อซักถามที่ว่า
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
(สกสค.) ควรจะมีบทบาทอย่างไรในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู
คุณไพบูลย์มีความเห็นดังนี้
สกสค. เป็นหน่วยงานที่ตั้งจขึ้นมาเพื่อดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพครู
โดยเจตนารมย์นี้ ถ้าสกสค.จะสร้างทีมตรงกลางเพื
ไม่มีความเห็น