นายอำพน กิตติอำพน
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เปิดเผยว่า
หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อการขาดดุลบริการ
ดุลบัญชีเดินสะพัด และ
ดุลชำระเงิน ซึ่งเมื่อใดที่ดัชนีทั้ง 3
ตัวนี้
ขาดดุลพร้อมกันจะส่งผลต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและเป็นจุดอ่อนให้กองทุนข้ามชาติ
หรือเฮดฟันด์ เข้ามาโจมตีค่าเงินได้ เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี
2541 เพราะหากสถานการณ์
การเมืองยืดเยื้อออกไปก็จะกระทบต่อการท่องเที่ยว
ทำให้ขาดดุลบริการ
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่คงสูงขึ้นจะทำให้ขาดดุลการค้า โดยทั้ง
2 ตัวนี้เป็นผลต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ประกอบกับกรณีที่ต่างชาติไม่กล้า เข้ามาลงทุน
ทำให้ไม่มีรายได้เข้าประเทศก็จะทำให้ขาดดุลการชำระเงินได้
ทั้งนี้ สศช. ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวจีดีพีตลอดทั้งปี 49 จาก
4.7-5.7% เป็น 4.5-5.5% เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง
จากเดิมที่คาดไว้เฉลี่ยทั้งปี 50-55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
เพิ่มเป็นเฉลี่ย 55-58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 4% เหลือ
3.4% เนื่องจากปัญหาขัดแย้งของสหรัฐฯ กับจีน
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ
ปัญหาด้านการเงินของญี่ปุ่น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปและจีน
ซึ่งขณะนี้ สศช.
ยังไม่นำปัญหาการเมืองในประเทศมาเป็นปัจจัยหลักในการคำนวณจีดีพี
เพราะคาดว่าจะยุติได้และคลี่คลายได้ไม่เกินกลางปี 49
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดในปี 49
คือปัญหาราคาน้ำมัน โดยการขาดดุลการค้าในเดือนมกราคมที่ผ่านมากว่า 50%
มาจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น
ส่วนนโยบายการใช้พลังงานทดแทนยังไม่ได้ผลมากนัก คาดว่า ปี 49
จะขาดดุลการค้าประมาณ 9,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 2.25% โดยการนำเข้าปี 49 คาดว่า
จะอยู่ที่ 135,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 2-2.5% ของจีดีพีขยายตัว
15% ส่วนการส่งออกจะอยู่ที่ 125,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขยายตัว ในเชิงมูลค่า 15.3% ด้านโครงการลงทุนขนาดใหญ่
(เมกะโปรเจกต์) ซึ่งสำนักงบประมาณจัดสรรงบไว้แล้ว 90,000 ล้านบาท
จะมีการก่อสร้างประมาณไตรมาสที่ 4
โดยรัฐบาลต้องเร่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 49
โดยเฉพาะเร่งก่อสร้างเมกะโปรเจกต์
ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการขยายธุรกิจของภาคเอกชน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อปี
49 จะอยู่ที่ 3.5-4.5%
สำหรับจีดีพีตลอดทั้งปี 48 ขยายตัว 4.5%
ภายหลังจากได้ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 ของปี 48 ขยายตัว 4.7% ชะลอลงจาก
5.4% ในไตรมาส 3
เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันที่กระทบต่อราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อสูงถึง
6% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราชะลอลงจาก 4.5% ในไตรมาส 3
เหลือ 4% การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 9.3% จากที่ขยายตัว 11.6%
ในไตรมาส 3 ประกอบกับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 46.5%
เมื่อเทียบกับ ปี 47 โดยเพิ่มขึ้นจาก 33.65
เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 49.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
และมีปัญหาภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรกและปัญหาน้ำท่วมในไตรมาสที่ 4
ตลอดจนผลกระทบจากสึนามิ และไข้หวัดนก การขาดดุลการค้า ถึง 8,118
ล้านเหรียญสหรัฐฯ และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 5,864 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ตลอดจนปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นไปที่ 4.25%
เลขาธิการ สศช. กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการบริหารเศรษฐกิจในปี 49 ว่า
ควรเร่งรัดสร้างรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวและดำเนินมาตรการพลังงานทดแทน
เพื่อดูแลการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด พร้อมกับการส่งเสริมการออมในประเทศ
ขณะเดียวกันควรส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนและเร่งรัดการใช้งบประมาณของรัฐบาล
โดยเฉพาะส่วนที่สร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจรากหญ้าและภาคเกษตร
รวมถึงการเริ่มดำเนินการลงทุนใน
โครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและธุรกิจเอกชน
ถึงความชัดเจนของแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ
การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบกองทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน
(เอสเอ็มแอล) ศูนย์ซ่อมสร้างประจำหมู่บ้านและชุมชน
รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารราชการแบบบูรณาการของผู้ว่าราชการจังหวัด
(ผู้ว่าซีอีโอ) การสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและการส่งเสริมการพัฒนา
มูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ภาคเกษตร
ไทยรัฐ 7 มีนาคม 2549
ไม่มีความเห็น