ปัญหาที่เกิดขึ้นในการไปศึกษาดูงานในครั้งนี้ คือการ หา
need assessment (NA)
ยังไม่ดีพอเลยทำให้การลงพื้นที่ในครั้งนี้
ไม่ได้ผลอย่างที่มุ่งหวังไว้
และนี่คืองานวิจัยของนักวิจัยอิสระได้ศึกษาเกี่ยวกับเกาะพระทองไว้
ซึ่งน่าจะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการลงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
หากมีการเดินทางเข้าไปในเกาะพระทองใหม่
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพชุมชนเกาะพระทองจากคลื่นยักษ์สินามิ
ณัฐกานต์ ไท้สุวรรณ
คลื่นยักษ์
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในทะเลอันดามันที่เรียกว่า “สึนามิ”
เป็นคลื่นยักษ์ใต้น้ำ ขนาดใหญ่เกิดจากแผ่นดินไหว
หรือการเคลื่อนตัวของผิวโลกบริเวณใต้น้ำทะเลหรือมหาสมุทร
จะเริ่มก่อตัวขึ้นจาก
จุดกำเนิดในขนาดเพียงไม่กี่นิ้ว
แต่เมื่อมาถึงบริเวณชายฝั่งทะเลอาจมีขนาดสูงหลายสิบเมตรหรือหลายสิบเท่า
จากคลื่นทะเลระดับปกติ
จากนั้นจะพุ่งเข้ามาหาฝั่งด้วยความเร็วและแรง
สามารถทำลายบ้านเรือนและสิ่งกีดขวางอื่นๆให้พังพินาศไปในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ คลื่นยักษ์สึนามิหลายๆ ลูก
สามารถเดินทางจากจุดกำเนิด ไปยังพื้นที่อื่นๆ
ได้ไกลหลายพันกิโลเมตร
ขณะที่ความเร็วและความแรงของคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นอยู่กับระดับความแรงของแผ่นดินไหวนั้นๆ
รวมทั้งความลึกของพื้นทะเลในบริเวณที่เกิดเหตุด้วย
เวลา 10.30 น. ของวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547
เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณเหนือเกาะ
สุมาตราของอินโดนีเซีย แรงสั่นสะเทือน 8.9 ริกเตอร์ ส่งผลให้ 6
จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเป็นคลื่นยักษ์สึนามิถล่มพื้นที่ชายฝั่ง
ไม่มีการเตือนภัยล่วงหน้า ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต
ทรัพย์สินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาล
โดยระดับน้ำในทะเลลดลงอย่างผิดปกติ
ทำให้ชาวบ้านและ
นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งออกไปยืนดูโดยไม่ได้คิดว่าจะเกิดคลื่นยักษ์ตามมา
และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการ
สูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
เกาะพระทองประกอบด้วยชุมชุน 4 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากร 1,064 คน
แบ่งเป็นชาวไทยเดิมและไทยใหม่(มอแกลน)
สภาพพื้นที่มีความหลากหลายของระบบนิเวศจำนวนมาก เช่น ป่าชายหาด ป่าพรุ
ทุ่งหญ้าป่าเสม็ด
ป่าชายเลน บึงน้ำจืด ทรัพยากรจำนวนมาก เช่น กวาง นกตระกรุม
สัตว์น้ำจืด สัตว์น้ำเค็ม
ล้วนแล้วแต่สร้างมูลค่า
ให้ชุมชนทำมาหากินเลี้ยงชีพและผู้ประกอบการท่องเที่ยวสร้างรีสอร์ทรองรับนักท่องเที่ยว
หลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและระบบนิเวศ
ประชาชนเสียชีวิตประมาณ 60 คน และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
(ไม่รวมนักท่องเที่ยว) ทรัพย์สินเสียหายโดยเฉพาะบ้านเรือนพังทั้งหลัง
เครื่องมือประกอบอาชีพประมง สูญหายและเสียหาย
ชายฝั่งทะเลเกิดการกัดเซาะเปลี่ยนแปลงชายหาดอย่างรุนแรง
น้ำเค็มไหลเข้าแทนที่
เกิดลำคลองใหม่ ชายหาดเปลี่ยนรูป
สวนเกษตรโดยเฉพาะสวนมะม่วงหิมพานต์เริ่มใบร่วงยืนต้นตาย
ส่งผลกระทบ ต่อการดำรงชีวิตในด้านที่อยู่อาศัย
ด้านการประกอบอาชีพ และการสร้างชุมชนใหม่
ทีมศึกษาชุมชนเกาะพระทองประกอบด้วยองค์กรที่เข้าไปดำเนินงานในพื้นที่
ประกอบด้วย ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดพังงา
มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร เครือข่ายฟื้นฟูอันดามัน
ได้ดำเนินการช่วยเหลือชุมชนและ
เก็บข้อมูลเบื้องต้นเพื่อรองรับการช่วยเหลือและฟื้นฟูชุมชนร่วมกัน
ซึ่งในระยะแรก ชุมชนต่างรอรับการช่วยเหลือจากทางภาครัฐ
ซึ่งเป็นการช่วยเหลือแบบเร่งด่วน
คือการสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การสร้างโรงเรียน
/วัด /อนามัย มีการจัดหาแหล่งน้ำที่สะอาดและปลอดภัย
จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทำประมงให้กับชาวบ้าน
ส่วนแนวทางการฟื้นฟูชุมชนและทรัพยากร
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพของชุมชนและสังคม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งชุมชน
คนในชุมชนต้องอพยพออกจากที่อยู่เป็นการชั่วคราว ภายหลังเหตุการณ์
มักจะมีปัญหาการปรับตัวทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียชุมชนและสังคมที่ตนเคยใช้ชีวิตอยู่
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่า
จะต้องมีการปรับแนวคิดในการฟื้นฟูฐานทรัพยากรมนุษย์
ฐานทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน โดยใช้แนวคิดตั้งอยู่
บนฐานชุมชนเป็นหลัก วางแผนหาทางออกสำหรับอนาคตของตนเอง
สร้างความสัมพันธ์อาศัยพึ่งพากันและกัน
รวบรวมครอบครัวกลับมาฟื้นฟูบ้านเรือนในเบื้องต้นและเชื่อมโยงกันเป็นชุมชน
โดยการช่วยเหลือสนับสนุนของ หลายฝ่าย
โดยผ่านการจัดการของชุมชนเป็นหลัก
จึงสมควรที่จะมีรูปแบบในการดำเนินงานวิจัยชาวบ้านโดยมีทีมศึกษาชุมชนเกาะพระทองเป็นพี่เลี้ยงในระยะแรกและร่วมกันฟื้นฟูชุมชนโดยชุมชนเองได้
อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
ผลกระทบ การปรับตัว และการพัฒนาและ
ฟื้นฟูคน/ชุมชน/ทรัพยากรตลอดจนความช่วยเหลือจากภายนอกและความร่วมมือของชุมชน
ต้องอาศัยกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเป็นเครื่องมือสืบค้น
เรียนรู้ ผลกระทบและเข้าถึงความเปลี่ยนแปลงและการปรับเปลี่ยนสังคม
เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นฐานข้อมูลและองค์ความรู้จะไปหนุนเสริมภาคีพัฒนากระบวการการฟื้นฟุชุมชนในพื้นที่ให้มีทิศทาง
รูปแบบ
วิธีการที่เหมาะสมและยั่งยืน
กระบวนการศึกษา
/
สำรวจและการดำเนินกิจกรรมอื่นๆ
ได้ดำเนินการศึกษาเก็บข้อมูล
โดยใช้กระบวนการวิจัยมานับแต่เดือนมกราคม 2548 ตามโครงการ
“การศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพชุมชนเกาะพระทองจากคลื่นยักษ์สินามิ
ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา”
มีการสำรวจและจดบันทึก สัมภาษณ์พูดคุยและใช้วิธีการสังเกต พฤติกรรม
สภาพแวดล้อม แล้วนำไปสู่การตั้งคำถามที่สงสัย
รู้จักการแก้ไขปัญหาทั้งในเหตุการณ์เฉพาะหน้าและมีการวางแผนในระยะยาว
เกิดกระบวนการเรียนรู้ หาเหตุผลมาสนับสนุนในสิ่งที่ลงมือกระทำทุกครั้ง
เพื่อที่จะตอบคำถาม ให้กับตัวเอง ชุมชน และสังคมได้
การค้นหาคำตอบเป็นการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาโดยต้องเป็นไปตามความต้องการของชุมชน
ซึ่งได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
1. สำรวจความสูญเสีย สาธารณูปโภคและสาธารณประโยชน์ชุมชน
2. สังเกต สัมภาษณ์ ผลกระทบต่อวิถีชุมชนความเชื่อ
พิธีกรรมและความเป็นอยู่
3. สำรวจความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน 4 หมู่บ้าน
4. สังเกต สัมภาษณ์ผลกระทบต่ออาชีพ รายได้ การเกษตร
5. เวทีพูดคุยกลุ่มย่อยผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ความเชื่อ
6. สำรวจเก็บข้อมูลแหล่งทรัพยากรธรรมชาติส่งแวดล้อม ภูมินิเวศ
(บันทึก/จับพิกัดจีพีเอส/วัดระดับน้ำ/ดินถ่ายภาพ)
7. สังเกต สัมภาษณ์ความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ชุมชน และวัฒนธรรมสังคม
เศรษฐกิจ
9. กิจกรรมเรียนรู้กระบวนการสำรวจ
ตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงแหล่งผักอาหารพื้นบ้านและแหล่งอาหารสัตว์น้ำ
10. กิจกรรมเยาวชนสะท้อนภาพสิ่งที่หายไป
สิ่งที่เหลืออยู่และจินตนาการวันพรุ่งนี้
11. กำหนดแปลงแหล่งทรัพยากร 7 ภูมินิเวศ
สำหรับการติดตามประเมินความเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะ เวลา 3 เดือน
(มีนาคม - พฤษภาคม)
12.
เวทีประชุมนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง
13.
สังเกตรูปแบบวิธีการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของคนชุมชนและทรัพยากร
14. วิธีพูดคุยวิธีการ กระบวนการ
การปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์แหล่งอาหารธรรมชาติ
15. สำรวจการเปลี่ยนรูปทรงพื้นที่ เกาะ แหล่งน้ำ
คลองทางระบายน้ำจากทุ่งหญ้าสะวันนา
16. เวทีกลุ่มย่อย 4 หมู่บ้านๆ ละ1ครั้ง
แลกเปลี่ยนเรียนรู้การปรับสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
17. เวทีแลกเปลี่ยนและนำเสนอวิเคราะห์ข้อมูล
กระบวนการปรับตัวเพื่อจัดการตัวเองของชุมชนเกาะพระทอง
หมู่ที่
1 บ้านทุ่งดาบ :
ในช่วงแรกหลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547
ที่ผ่านมา
ชาวบ้านทุ่งดาบได้อพยพมาพักอยู่ที่ศูนย์อพยพผู้ประสบภัยที่วัดสามัคคีธรรม
(วัดป่าส้าน) ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรีและที่ศูนย์อพยพหลบภัยวัดบางวัน
ตำบลบางวัน อำเภอคุระบุรี
ในระยะแรกชาวบ้านอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจและ
หวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลายครอบครัวสูญเสียทรัพย์สินและชีวิตของคนที่เป็นที่รักไป
และเป็นสภาวะสะเทือนใจของชาวบ้านในขณะนั้น
แต่ก็ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่อยู่ในอาการเข้มแข็งพอ
ก็พากันไปช่วยเจ้าหน้าที่ค้นหาศพญาติพี่น้องที่ยังสูญหาย
สถานการณ์ตอนนั้นไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของตนเอง
ความช่วยเหลือจากภายนอกก็เริ่มเข้ามา มีการบริจาคอาหาร น้ำดื่ม
เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค ในช่วงแรกก็ยังไม่เพียงพอ
ต่อความต้องการของผู้ประสบภัย หลังจากนั้น
ก็มีของบริจาคจากทั่วประเทศที่หลั่งไหลเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยมากมาย
เป็นดั่งคลื่นน้ำใจของคนไทยทั่วประเทศ
และสิ่งที่ตามมาคือมากจนไม่มีที่เก็บของบริจาค
จึงได้มีการกระจายของบริจาคไปเก็บไว้ตามบ้านของผู้นำในท้องถิ่น
หน่วยงานราชการต่างๆ และองค์กรเอกชน เมื่อผ่านเหตุการณ์มาได้
ในระยะหนึ่งก็เริ่มมีการคิดถึงเรื่องอนาคตและด้านการประกอบอาชีพมากขึ้นว่าจะมีการจัดการอย่างไรต่อไป
เมื่อได้ข้อสรุปว่าชาวบ้านส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะกลับไปอยู่ที่เกาะเหมือนเดิม
แต่ต้องการย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นแทน
เนื่องจากพื้นที่เคยสร้างที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายอย่างหนัก และ
ในพื้นที่ก็ยังขาดน้ำใช้ที่สะอาดเพราะขณะนี้น้ำเค็มได้เข้าผสมกับน้ำจืดจนไม่สามารถใช้ดื่มได้
ต่อมาชาวบ้านทุ่งดาบได้อพยพมาพักอยู่ที่พักชั่วคราว ณ บ้านทุ่งละออง
โดยการจัดการของผู้นำในท้องถิ่น
และได้มีหน่วยงานของวิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช, ชุมพร, หาดใหญ่
และวิทยาลัยเทคนิคพัทลุง
มาช่วยกันสร้างบ้านพักชั่วคราวให้ใกล้บริเวณท่าเรือบ้านทุ่งละออง
จำนวน 73 ครอบครัว (จากเดิมก่อนเกิดเหตุการณ์มี 68
ครอบครัว ประชากร 210 คน) และเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2548 ที่ผ่านมา
จากการประชุมหารือกับชาวบ้านทุ่งดาบ
ผู้นำในท้องถิ่นและกลุ่มคนที่ทำงานในพื้นที่
รวมทั้งองค์กรภายในและภายนอกสามารถสรุปแผนการดำเนินงานได้ดังนี้
1. แก้ปัญหาเรื่องน้ำดื่ม
น้ำใช้ภายในเกาะที่ได้รับผลกระทบจนน้ำเค็มและเน่าเสีย
2.
สร้างบ้านให้กับผู้ที่บ้านพังเสียหายโดยผู้ใหญ่พจน์เป็นแกนนำหลัก
3. สร้างโรงเรียน ถนน
สะพาน
ข้อเสนอแนะเร่งด่วน
1
.
การสร้างรายได้เร่งด่วนให้แก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ/หรือผลักดันให้รัฐจ่ายค่าชดเชยเบื้องต้นให้แก่
ผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ ดังนี้
1.1 จ่ายเงินชดเชยเพื่อการยังชีพเบื้องต้นรายละ 3,500 บาท จำนวน
49 ราย
1.2
ชดเชยความเสียหายตามความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นโดยแบ่งเป็นบ้านเรือนเสียหาย
จำนวน 13 หลังคาเรือน กระชังปลา 6 แห่ง เรือและเครื่องยนต์ 19
ลำ
1.3
จัดสร้างที่อยู่อาศัยถาวรให้กับประชาชนที่สูญเสียบ้านเรือนโดยแบ่งเป็นสูญเสียทั้งหลัง
จำนวน 11 หลังคาเรือน และเสียหายบางส่วนจำนวน 2 หลังคาเรือน
2. ดำเนินการซ่อมแซมบูรณะโรงเรียนบ้านทุ่งดาบพร้อมบ้านพักครู
รวมทั้งจัดหาบุคลากรเพื่อสอนเด็กนักเรียนในพื้นที่ ทั้งนี้
ในช่วงระยะเวลาที่ประชาชนยังพักพิงอยู่ในศูนย์ผู้ประสบภัย
ให้ครู/อาจารย์ลงมาสอนเด็กนักเรียน
ในศูนย์ฯ หรือที่โรงเรียนทุ่งละออง
3. จัดหาแหล่งน้ำสะอาดและปลอดภัยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
เบื้องต้นให้ดำเนินการฟื้นฟู
แหล่งน้ำตื้นจำนวน 20 บ่อ
4. จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์การทำประมง ได้แก่ อุปกรณ์ในการทำลอบ
กระชัง เรือและเครื่องยนต์เพื่อใช้ ในการประกอบอาชีพ
5.
มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องร่วมกับชาวบ้านดำเนินการตรวจตรา
ดูแลและ เฝ้าระวังการลักลอบล่าสัตว์ป่า เช่น กวางป่า
ในพื้นที่เกาะระ-เกาะพระทอง
6. ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเร่งค้นหาศพตกค้างจำนวน 7 ราย
เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและความหวาดระแวงของ
ชาวบ้าน
7.
ให้ทำฝนเทียมชะล้างน้ำเค็มบนพื้นที่เกาะพระทองเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าและพื้นที่การเกษตร
ข้อเสนอในระยะยาว
1.
ให้สิทธิที่ทำกินและที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนในพื้นที่
2. ยกเลิกการประกาศเขตพื้นที่หมู่เกาะพระทองเป็นอุทยานแห่งชาติ
และให้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนแทน
3. แก้ไขปัญหาเรืออวนลากชายฝั่งในระยะ 6,000 เมตร
4.
จัดทำปะการังเทียมฟื้นฟูบริเวณชายฝั่งและดำเนินการปล่อยสัตว์น้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม
5. ฟื้นฟูสภาพป่าชายเลน
ป่าบกและป่าชายหาดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและสนับสนุนให้ชุมชน
ดำเนินการจัดตั้งป่าชุมชนพื้นที่เกาะพระทอง
หลังจากชาวบ้านทุ่งดาบได้เข้ามาอยู่ที่บ้านพักชั่วคราว ณ
บ้านทุ่งละอองแล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547
ชาวบ้านได้มีการพูดคุยถึงอนาคตตัวเองมากขึ้น
และได้มีหน่วยงาน/องค์กรหลายองค์กรเข้าช่วยกันในด้านต่างๆ
มีการทำงานซ้ำซ้อนกันบ้างในระยะแรกที่เกี่ยวข้องกับงานฟื้นฟู
มีการจัดตั้งอู่ซ่อม/สร้างเรือบ้านทุ่งดาบ ตำบลเกาะพระทอง
ตั้งอยู่บริเวณบ้านพักชั่วคราวทุ่งละออง
ดำเนินการโดยกองทุนฟื้นฟูชุมชนชายฝั่งอันดามัน
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเครือซีเมนต์ไทย เริ่มตั้งอู่เมื่อวันที่ 2
กุมภาพันธ์ 2548
และชาวบ้านทุ่งดาบก็มีส่วนร่วมในการเลือกช่างซ่อมเรือเองซึ่งเป็นคนในบ้านทุ่งละออง
มีหัวหน้าช่าง 1 คน และผู้ช่วยช่างอีก 1 คน (ค่าจ้างหัวหน้าช่าง
600/วัน และผู้ช่วยช่าง 400/วัน)
มีเงื่อนไขข้อตกลงว่าเจ้าของเรือจะต้องมาช่วยงานด้วย
และจะมีการดำเนินการจัดตั้งเป็นกองทุนหมุนเวียนในชุมชน
ซึ่งชาวบ้านสามารถกู้เงินจากกองทุนมาใช้ในการประกอบอาชีพ
การซื้ออุปกรณ์ประมง
ต่อไปเมื่อสร้าง/ซ่อมเรือเสร็จ
มีการประเมินราคาในการซ่อม/สร้างเรือของแต่ละราย
ได้กำหนดระยะเวลาในการจ่ายคืนกองทุนเป็นรายเดือน
อย่างน้อยเดือนละ 500บาท และจะเริ่มจ่ายคืนในเดือนมิถุนายน 2548
และจะจ่ายในวันที่ 1 ของทุกเดือน แต่ต้องไม่เกินวันที่ 5
ถ้าหากเกินจากวันที่ 5 จะต้องจ่ายค่าปรับ 20 บาทต่อเดือน
ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นชาวบ้านในชุมชนเองเป็นคนเลือกคณะกรรมการขึ้นมาเองมีผู้ใหญ่บ้านเป็นที่ปรึกษา
และมีคนทำงานในพื้นที่ของเครือข่ายความร่วมมือฟื้นฟูชุมชนชายฝั่งอันดามัน
เป็นพี่เลี้ยง
นอกจากการสร้างเรือแล้ว
ยังดำเนินงานในเรื่องช่อมแซม-สร้างบ้านให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่บ้านปากคลอง
โดยทำการซ่อมแซมบ้าน สร้างบ้านใหม่
โดยชาวบ้านเป็นคนช่วยกันคนละไม้คนละมือในการซ่อมสร้างเป็นเงื่อนไขที่ชาวบ้านเป็นผู้ตั้งขึ้นมา
(แต่พื้นที่บ้านปากคลองชาวบ้านไม่ได้รับผลกระทบในด้านที่อยู่อาศัยจาก
เหตุการณ์สึนามิ )
มีการดำเนินการสร้างบ้านให้กับกลุ่มคนไทยโดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการสร้างบ้านจากมูลนิธิสืบ
นาคะเสถียร ขึ้นบริเวณบ้านปากคลองทางไปท่าเรือห้างสูง
หน่วยงานของสถานทูตสวิสเซอร์แลนด์
ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้เข้ามาฟื้นฟูชุมชนพื้นที่บ้านทุ่งดาบ
มีการสร้างถนนตั้งแต่ท่าเรือห้างสูงจนไปถึงบ้านท่าแป๊ะโย้ย
(ขณะนี้ยังดำเนินการไม่เสร็จ) สร้างโรงเรียนบ้านทุ่งดาบ
ในขณะนี้ดำเนินการเสร็จแล้ว ส่วนเรื่องเรือทางสถานทูตสวิสฯ
ต้องการมอบเรือให้กับผู้ที่เสียหาย และยังไม่ได้รับค่าชดเชยจำนวน 23
ลำ ให้แก่ชาวบ้านเกาะพระทองทั้งสี่หมู่บ้านคือบ้านทุ่งดาบ
บ้านท่าแป๊ะโย้ย บ้านเกาะระ และบ้านปากจก
สำหรับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและผ่านการพิจารณาจากทางสถานทูตสวิสฯ
ได้ทำการรับมอบเรือเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 ที่ผ่านมา
โรงเรียนรุ่งอรุณมาสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบริเวณบ้านปากคลอง
มีครูอาสาสมัครมาสอนหนังสือและมาทำ
กิจกรรมกับเด็กในวันเสาร์-อาทิตย์
ในขณะที่องค์กรของคริสต์เตียนได้เข้ามาในหมู่บ้าน
เพื่อให้การช่วยเหลือและในขณะเดียวกันก็เข้ามาเพื่อเผยแพร่ศาสนา
ชาวบ้านบางส่วนมีความศรัทธาในศาสนาจึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริตส์แทน
ซึ่งจากเดิมชาวบ้านปากคลองนับถือศาสนาพุทธ และทุกๆ
วันเสาร์ชาวบ้านจะไปทำพิธีที่โบสถ์ในจังหวัดภูเก็ต
ความพยายามของชาวบ้านทุ่งดาบ
ที่ต้องการให้โรงเรียนบ้านทุ่งดาบยังคงอยู่และไม่ให้ถูกยุบตัวลง
อันเนื่อง มาจากจำนวนนักเรียนที่มีอยู่น้อย
และในขณะนั้นยังไม่มีครูมาสอนประจำและโรงเรียนบ้านทุ่งดาบยังเป็นโรงเรียนลูกของโรงเรียนเกียรติประชา
และเมื่อเดือนมิถุนายน 2548
ได้มีครูมาสอนประจำอยู่ที่โรงเรียนบ้านทุ่งดาบ และในขณะนี้
มีนักเรียนทั้งหมดจำนวน 13 คน ซึ่งได้เปิดเรียนตามปกติแล้ว
หมู่ที่ 2 บ้านท่าแป๊ะโย้ย
: จากเหตุการณ์สึนามิบ้านท่าแป๊ะโย้ย
นับว่าเป็นหมู่บ้านที่ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ดังนั้น
ความช่วยเหลือเร่งด่วนจึงได้รับความสนใจน้อย ในขณะเดียวกัน
ชาวบ้านเองก็ได้รับความเสียหาย
ในเครื่องมือประมงบางส่วนที่ต้องการช่วยเหลือซ่อมแซม
สิ่งที่ชาวบ้านท่าแป๊ะโย้ยได้รับความเสียหายมากที่สุด ณ
ตอนนี้คือสภาพทางจิตใจ หลังจากประสบปัญหา
ชาวบ้านขึ้นมาพักอยู่ที่วัดสามัคคีธรรมและเกิดความรู้สึกว่า
ไม่ได้รับความเป็นธรรมและโดนดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นานา
จึงพากันกลับลงไปอยู่ที่เกาะ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2547
แต่ก็อยู่กันได้ไม่นาน
เพราะมีข่าวลือเรื่องการกลับมาของคลื่นสึนามิกันบ่อยครั้ง
ทำให้ชาวบ้านต้องอพยพกันขึ้นมาพักที่ท่าเรือบางแดด
พอข่าวสงบก็ลงกันไปใหม่
เมื่อมีข่าวลือก็หนีกันขึ้นมา เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
ทั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านบนเกาะพระทองส่วนใหญ่เป็นชาวมอแกน
ซึ่งค่อนข้างที่จะมีความเชื่อเรื่องการโดนธรรมชาติลงโทษและมีความกลัวเรื่องผีจากคนตายจำนวนมากบนเกาะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
และความไม่มั่นใจว่าคลื่นสึนามิจะเกิดขึ้นมาอีกเมื่อไหร่
ทำให้ชาวบ้านไม่เป็นอันทำมาหากิน ซ้ำร้ายอาหารทะเลก็ไม่มีใครรับซื้อ
ถึงรับซื้อราคาที่ให้ก็ไม่คุ้มกับการลงทุน
บางคนที่ออกไปหาปลาในทะเลลึกก็ไปเจอชิ้นส่วนคนเข้า
กลัวกันจนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน นอกจากนี้
ภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ชาวบ้านหวาดผวา ไม่เคยจางหายไป
ยิ่งเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2548 มีข่าวทางโทรทัศน์ ออกมาว่า
เกาะระซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะพระทองจะถล่มอีก
ชาวบ้านที่เป็นมอแกนจึงอพยพกันขึ้นมาบนฝั่งกันหมด
เหลือไว้แต่กลุ่มคนไทยที่ยังอยู่ที่เกาะ
ตอนนี้ชาวบ้านท่าแป๊ะโย้ยที่อพยพขึ้นมาพักอาศัยอยู่ที่วัดสามัคคีธรรมเชื่อว่า
ถ้าเกาะระถล่ม เกาะพระทองก็คงไม่เหลือ
เพราะเกาะพระทองมีโครงสร้างที่เปราะบางกว่าเกาะระ
อีกทั้งเกาะพระทองก็อยู่ต่ำกว่าเกาะระมาก ถ้าเกิดเกาะระถล่ม
กลัวว่าน้ำจะเอ่อล้นขึ้นมาจนท่วมเกาะพระทอง
จึงได้รีบอพยพกันขึ้นมาเพื่อหนีภัยที่เกิดจากความหวาดกลัว
ตั้งใจขึ้นมาอยู่ที่วัดสามัคคีธรรมประมาณ 2-3 สัปดาห์
รอให้สถานการณ์ของปรากฎการณ์ธรรมชาตินิ่งกว่านี้แล้วค่อยลงกลับไปอยู่ที่เกาะ
เพราะตอนนี้ถึงลงไปก็ทำมาหากินไม่ได้
นอกจากปัญหาเรื่องความตื่นกลัวแล้ว สิ่งที่ชาวบ้านท่าแป๊ะโย้ยประสบ ณ
ตอนนี้คือ
ปัญหาเรื่องยุงที่เพิ่มปริมาณขึ้นมาอย่างมหาศาลในช่วงหลังเกิดคลื่นสึนามิ
เนื่องจากเกิดแหล่งน้ำขังขึ้นบนเกาะมากมาย
ทำให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้
ก็ยังมีปัญหาเรื่องน้ำดื่มขาดแคลน
เนื่องจากฝนไม่ได้ตกติดต่อกันเป็นเวลานานน้ำฝนที่กักเก็บมาก็เริ่มหร่อยหรอ
น้ำประปาที่เคยใช้ดื่มก็เป็นสีสนิมจนไม่มั่นใจว่าใช้ดื่มได้อย่างปลอดภัยจากเชื้อโรคหรือไม่
หลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิ ชาวบ้านต้องประหยัดน้ำมากขึ้น
โดยการเปิดให้ใช้น้ำช้าลงและปิดน้ำเร็วขึ้น เพราะปีนี้แล้งมากกว่าปกติ
อีกทั้งน้ำเค็มท่วมถึงบนเกาะเข้ามาประมาณ 3 กิโลเมตร
ทำให้แหล่งน้ำจืดหลายแห่ง กลายเป็นน้ำเค็ม
และเมื่อเวลาประมาณสี่ทุ่มของวันที่ 28 มีนาคม 2548
ได้เกิดแผ่นดินไหวบริเวณเกาะสุมาตรา
วัดได้ 7.5 ริกเตอร์
มีการประกาศเตือนภัยให้อพยพชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในที่สูง
ชาวบ้าน
ท่าแป๊ะโย้ยได้พากันอพยพหลบภัยมาที่ท่าเรือบ้านบางแดด
ด้านความช่วยเหลือเรื่องเครื่องมือประกอบอาชีพที่ได้รับผลกระทบมีหลายหน่วยงานที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือเรื่องเรือและเครื่องยนต์
หมู่ที่ 3 บ้านเกาะระ
:
ชาวบ้านเกาะระได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับชาวบ้านทุ่งดาบเนื่องจากมีการเสียชีวิต
1 คน และยังคงสูญหายอีก 1 คน ชาวบ้านเกาะระ 32
ครอบครัวยังคงอาศัยอยู่ที่วัดป่าส้าน (วัดสามัคคีธรรม)
และทางวัดป้าส้านร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทยสร้างที่พักชั่วคราวให้ชาวบ้านเกาะระจำนวน
32 ครอบครัว ส่วนเรื่องบ้านถาวร
ทางวัดได้ร่วมกับมูลนิธิฝรั่งใจดีดำเนินการหาที่ดินสร้างบ้านถาวรให้ชาวบ้าน
32 หลังคาเรือน
สร้างอยู่บริเวณคลองบางหลุใกล้กับตลาดอุ่นเจริญ อำเภอคุระบุรี
พื้นที่ด้านหลังติดกับคลองบางหลู
และมีโครงการขุดลอกคลองเพื่อที่จะสามารถนำเรือมาจอดได้
ส่วนการสร้างบ้านได้ดำเนินการสร้างบ้านแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง
รอให้สร้างเสร็จพร้อมกันก่อนจึงจะเข้าอยู่ในลำดับต่อไป
ความช่วยเหลือด้านเครื่องมือการประกอบอาชีพ
ทางมูลนิธิฝรั่งใจดีได้ร่วมกับทางวัดได้ต่อเรือให้กับชาวบ้าน
พร้อมเครื่องยนต์และอุปกรณ์ประมง ในขณะนี้
ชาวบ้านได้นำเรือลงทะเลออกหาปลา เพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว
หมู่ที่ 4 บ้านปากจก :
ชาวบ้านปากจกได้อพยพออกจากวัดป่าส้านมาอยู่ที่บริเวณสนามหลังโรงเรียนคุระ
ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับที่ว่าการอำเภอ โดยมีการกางเต็นท์พักอาศัย
มีสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก ในขณะนั้นมีสภาพอากาศร้อนจัด
พื้นที่มีความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ
ต่อมาได้มีการอพยพชาวบ้านปากจกที่อยู่บริเวณหลังโรงเรียนคุระมาอยู่ที่บ้านพักชั่วคราว
ก่อสร้างบริเวณ แพเหมือนฝัน (หมู่ที่ 3 บ้านหินลาด ตำบลคุระ
อำเภอคุระบุรี) สร้างบ้านพักชั่วคราวโดยทหารช่าง
ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 วัน (เริ่มสร้างวันที่ 1- 10 มกราคม
2548)
บ้านปากจกเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
และได้รับความเสียหายอย่างหนักด้านที่อยู่อาศัย
จนชาวบ้านปากจกไม่ต้องการกลับไปอยู่ที่เดิมบนเกาะอีก
ทางมูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับทางสภากาชาดไทยได้ให้ความช่วยเหลือเรื่องบ้านถาวรให้กับชาวบ้านปากจก
มีการเลือกสถานที่สร้างบ้านอยู่ที่บริเวณบ้านบางแบก
ตั้งอยู่ในตำบลแม่นางขาว อำเภอคุระบุรี
(ใกล้กับบริเวณที่มีโครงการที่จะสร้างพระตำหนักของสมเด็จพระเทพฯ)
จำนวน 150 หลังคาเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มชาวไทยใหม่
พื้นที่อยู่ไม่ไกลกับท่าเรือบ้านบางแดดมากนัก
บ้านพักถาวรอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณหลังโรงแรมเอ๊กซ์ดร้า
หรือซอยท่าเรือ
สถานการณ์ของชุมชนต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
ภายหลังจากชาวบ้านผ่านเหตุการณ์คลื่นสึนามึถล่มชุมชน
ต้องอพยพหลบภัยมาอยู่ที่ศูนย์ช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยชั่วคราวที่วัดป่าส้าน อำเภอคุระบุรี และที่วัดบางวัน
ตำบลบางวัน อำเภอคุระบุรี ในระยะแรกชาวบ้านยังคงมีความหวาดกลัว
ไม่สามารถตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของตนเองได้
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปในช่วงหนึ่งชาวบ้านสามารถตั้งหลักได้
และทำใจให้ยอมรับการสูญเสียได้
จึงมีการพูดคุยในเรื่องอนาคตของตนเองกันมากขึ้นโดยสามารถจำแนกตามหมู่บ้านได้ดังนี้
ชาวบ้านปากจก ส่วนใหญ่ยังทำใจไม่ได้
ขอเวลาเพื่อได้ปรับสภาพจิตใจอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวที่ทางการสร้างขึ้น
ซึ่งทางทหารช่างได้ขอเวลา 10 วันเพื่อทำการสร้างให้แล้วเสร็จ
(นับจากวันที่ 10 มกราคม 2548) ก่อสร้างที่บริเวณแพเหมือนฝัน
ซึ่งเป็นพื้นที่ของนายดิษฐ์พงศ์ โชคนาพิทักษ์
(เจ้าของกิจการแพเหมือนฝันและรีสอร์ทที่เกาะระ) ตั้งอยู่หมู่ที่ 3
บ้านหินลาด ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี
ชาวบ้านบางส่วนได้แจ้งความต้องการที่จะไปขอปลูกบ้านอยู่บริเวณหมู่บ้านท่าแป๊ะโย้ย
ซึ่งได้มีการติดต่อแสดงความจำนงผ่านทางผู้ใหญ่บ้านท่าแป๊ะโย้ยแล้ว
ทางด้านผู้ใหญ่นุ (ผู้ใหญ่บ้านปากจก) และแป๊ะหมาย
ได้แสดงความจำนงให้ชาวบ้านกลับไปสร้างบ้านในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่อันเป็นสิทธิ์ของตนได้
(เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ปลูกบ้านในลักษณะขอกันอยู่
ไม่มีเอกสารสิทธิ์เป็นของตนเอง)
ชาวบ้านท่าแป๊ะโย้ย
ชาวบ้านได้รับผลกระทบทางกายภาพน้อยกว่าชุมชนแรก
สูญเสียเครื่องเมือประกอบอาชีพและบ้านเรือนถูกน้ำท่วมเสียหายบางส่วน
แต่ชาวบ้านได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจ
เนื่องจากเกิดความกลัวและไม่มั่นใจในการอยู่อาศัยที่เกาะ
ในขณะที่ลูกหลานของชาวบ้านก็ได้ไปทำงานอยู่ที่รีสอร์ทต่างๆ
โดยเฉพาะที่รีสอร์ทสุดขอบฟ้า
และคนกลุ่มนี้ยังเป็นผู้ที่อยู่ในสถานการณ์คลื่นสึนามิถล่มโดยตรง
เพื่อความปลอดภัยชาวบ้านจึงได้อพยพมาอยู่ที่วัดป่าส้านร่วมกับชาวบ้านปากจกที่หนีรอดมาได้
ชาวบ้านเกาะระและชาวมอแกนเกาะสุรินทร์
เมื่ออาศัยอยู่ในระยะหนึ่ง ชาวบ้านก็กลับลงไปอยู่ที่เกาะตั้งแต่วันที่
4 มกราคม 2548 แต่ก็ยังคงตื่นกลัวและเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548
ก็อพยพกันขึ้นมาอีกเนื่องจากข่าวเหตุการณ์อาฟเตอร์ช็อค
การขึ้นมาของชาวบ้านมิได้ขึ้นมาอยู่ที่วัดอีก
แต่ตั้งหลักอยู่ที่ท่าเรือบ้านบางแดด ตำบลแม่นางขาว อำเภอคุระบุรี
และเมื่อระยะเวลาผ่านไป
ชาวบ้านอยู่ที่บางแดดไม่ได้
เนื่องจากไม่ได้รับความสะดวกเรื่องสุขอนามัยและอาหารการกิน
จึงได้กลับไปที่เกาะภายหลังจากนั้น มีการอพยพกันขึ้นมาอีกประมาณ 3
ครั้ง เนื่องจากเกิดความหวาดกลัวจากภัยสึนามิและกลัวภูติผีวิญญาณ
อันเป็นความเชื่อของชาวบ้าน ต่อมาก็ได้อพยพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากข่าวเกาะระที่ถูกประกาศเป็นเขตไม่ปลอดภัยจากกรมทรัพยากรธรณี
คราวนี้ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ที่วัดป่าส้าน หรือวัดสามัคคีธรรม
อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
นายยศพล แซ่เด่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ระบุว่า
“ชาวบ้านยังคงฝังใจกับเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่ม
ทำให้เกิดความหวาดระแวงและตื่นกลัวได้ง่าย ดังนั้น
เมื่ออพยพไปอยู่ที่เกาะแล้วก็อพยพขึ้นลงหลายครั้ง
ผมและคณะกรรมการหมู่บ้านจึงเห็นสมควรให้ชาวบ้านพักอยู่บนฝั่งก่อน
จนสภาพจิตใจพร้อมที่จะลงไปที่เกาะแล้วจึงค่อยลงไป
อีกทั้ง
เนื่องจากลงไปที่เกาะแล้วชาวบ้านไม่ได้ประกอบอาชีพ
ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว อยู่กันอย่างลำบาก และไม่มีใคร
เข้าไปให้ความช่วยเหลือเหมือนครั้งที่เกิดเหตุใหม่ๆ
ชาวบ้านเกาะระ
ได้รับผลกระทบด้านจิตใจอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับบ้านทุ่งดาบ
เนื่องจากมีชาวบ้านเสียชีวิต 1 คน และยังสูญหายอีก 1 คน
ทั้งนี้ชาวบ้านยังคงอาศัยอยู่ที่วัดป่าส้าน
ไม่ออกมาร