วัดพระพายหลวง
เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ อยู่นอกเมืองสุโขทัย สร้างก่อนสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ตั้งอยู่กลางแนวคูน้ำล้อมรอบ ๒ ชั้น คูน้ำชั้นนอกเป็นคูน้ำขนาดใหญ่ และคูน้ำชั้นในมีขนาดเล็ก เดิมเป็นเทวสถานของขอม ด้วยพบชิ่นส่วนเทวรูป และฐานศิวลึงค์ ต่อมาจึงดัดแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เนื่องจากพบพระพุทธรูปแกะหินสลักปางนาคปรก และด้านหน้าวิหารพบรูปสลักหินองค์ใหญ่ ปางสมาธิ เฉพาะส่วนขององค์พระที่มีลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้าง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นวัดศาสนาพุทธ ฝ่ายหินยาน เมื่อได้รับอิทธิพลศาสนาแบบลังกาวงศ์ นับเป็นวัดที่ใหญ่และสำคัญรองลงมาจากวัดมหาธาตุ เจดีย์ประธานเป็นปรางค์ ๓ องค์ ก่อด้วยศิลาแลงและฉาบด้วยปูนปั้น ประกอบด้วยวิหาร เจดีย์สี่เหลี่ยม และระเบียงคด มณฑป วิหารพระนอน และเจดีย์ราย สันนิษฐานว่า เป็นศูนย์กลางของศาสนาที่มีมาก่อนการตั้งวัดมหาธาตุ รวมทั้งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในด้านการศึกษาด้านศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม สมัยก่อนสุโขทัย และการก่อสร้างต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อนมาหลายยุคหลายสมัย
วัดศรีชุม
เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ในสมัยสุโขทัย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกำแพงเมืองสุโขทัย ปรากฏตามหลักฐาน ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ พุทธศักราช ๑๘๓๕
วัดนี้เป็นวัดที่แปลกกว่าวัดอื่น ด้วยหากมองเพียงภายนอกจะเป็นแต่มณฑปรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทรงระฆังคว่ำหรือรูปโดม มีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่เพียงองค์เดียว คือ พระอจนะ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์สามารถพูดได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ประตูทางเข้าด้านหลังพระพุทธรูปจะเจาะเป็นช่องสูง มีทางเดินขึ้นไปจนเกือบถึงยอดหลังคามณฑป ซึ่งเป็นด้วยกุศโลบายของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง ที่ทรงพระปรีชาสามารถปลุกปลอบใจทหาร และสามารถบังคับบัญชา ให้เกิดความสามัคคีเป็นน้ำหนี่งใจเดียวกัน โดยใช้ผนังด้านข้างขององค์พระอจนะที่มีช่องเล็ก ๆ และให้คนเข้าไปในอุโมงค์ แล้วพูดออกมาเสียงดัง ๆ ผู้ที่อยู่ในวิหารจึงนึกว่าพระอจนะพูดได้ และทั้งช่องอุโมงค์ด้านซ้ายและขวาจะบรรจบกันเข้าเป็นยอดแหลม ผนังมณฑปทำเป็น ๒ ชั้น ภายในช่องอุโมงค์มณฑป ด้านซ้ายกว้างประมาณ ๕๐ ซม. บนเพดานมีภาพสลักลายเส้นบนแผ่นหินชนวน ประมาณ ๕๐ ภาพ แสดงเกี่ยวกับเรื่องชาดกต่าง ๆ บรรยายไว้เป็นอักษรไทยสมัยสุโขทัย และมุมด้านขวาขององค์พระยังมีรอยพระพุทธบาทสลักไว้สวยงาม ส่วนอุโมงค์ช่องขวา ได้ปิดทับไปแล้ว นอกจากนั้น ยังปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิ์พงศ์ (จาด) กล่าวไว้ว่า เมื่อพระนเรศวรเสด็จขึ้นมา ปราบกบฎเมืองสวรรคโลก ในปี พ.ศ.๒๑๒๘ นั้น ก่อนจะยกไปเมืองสวรรคโลก ได้แวะพักพลที่ตำบลฤาษีชุม เมืองสุโขทัย สันนิษฐานว่า คือวัดศรีชุม นั่นเอง
วัดอรัญญิก
กุฎิสงฆ์มีจำนวน ๘ หลัง ก่อด้วยหินเล็ก ๆ คล้ายซุ้ม เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์จำวัดและวิปัสสนา บริเวณเขาสูง มีถ้ำซึ่งเป็นการ สกัดหินเข้าไปในเขา ๓ แห่ง เพื่อให้สำหรับพระสงฆ์จำวัด คือ ถ้ำมะขามป้อม ถ้ำพระยาน้อย และถ้ำพระ ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช ๑๘๓๕
วัดเชตุพน
เป็นกลุ่มโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดของโบราณสถานนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้
โบราณสถานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัด มีคูน้ำ ๒ ชั้น ล้อมรอบ
เว้นแต่โบสถ์ซึ่งแยกออกไปอยู่ต่างหาก ทางใต้นอกคูน้ำ
กลุ่มโบราณสถานประกอบด้วย มณฑปพระสี่อิริยาบท เจดีย์ทรงมณฑป
วิหาร เจดีย์ราย กำแพง คูน้ำ
มณฑปพระสี่อิริยาบท เป็นโบราณสถานหลักของวัดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางลีลา ทางด้านทิศตะวันออก พระพุทธรูปประทับยืนทางด้านทิศตะวันตก พระพุทธรูปประทับนั่งทางด้านทิศเหนือ และพระพุทธรูปประทับนอนด้านทิศใต้ โดยพระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์นี้ ก่อด้วยอิฐ และปูนปั้น วัดเชตุพน นับเป็นวัดขนาดใหญ่ที่สำคัญอีกวัดหนึ่งของกรุงสุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งก่อสร้าง เช่น มณฑปที่อิริยาบทขนาดใหญ่ กำแพงหินชนวนขนาดใหญ่ ตลอดจนขนาดของวิหาร สระน้ำ และคูน้ำล้อมรอบ ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ทั้งในด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นอย่างยิ่ง
วัดสะพานหิน
ทางเดินขึ้นวัดสะพานหินปูด้วยหินชนวนแผ่นบาง ๆ ซ้อนเรียงกันเป็นแนวสูง และปูเรียงไปตามเชิงเขาด้านทิศตะวันออก จนถึง บริเวณลานวัดบนยอดเขา บนลานมีวิหารก่อด้วยอิฐ เสาเป็นศิลาแลง ๔ แถว ๕ ห้อง ด้านหลังมีผนังก่ออิฐหนา มีพระพุทธรูปปูนปั้น หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก เป็นพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย ยกพระหัตถ์ขวา สูง ๑๒.๕๐ เมตร เรียกว่า "พระอัฎฐารศ" และมีฐานเจดีย์ราย ๔-๕ ฐาน ระหว่างทางขึ้นทางซ้ายมือ มีเจดีย์แบบดอกบัวตูมองค์เล็ก ๑ องค์ ทางทิศเหนือ
มีความรู้มากเลยคะ