มุมหนึ่งของ "คุณลิขิต" จากเวทีเรื่องเล่าการจัดการความรู้ข้าราชการไทย


ตั้งแต่ตอนเตรียมงานภายในระหว่างทีมงาน "คุณลิขิต" (Note Taker) เราได้คุยกันว่าจะดึง ขุมความรู้จากเรื่องเล่าความสำเร็จของราชการไทย  ในเวทีประชุมวิชาการครั้งที่ 17  ซึ่งจัดผ่านไปเมื่อวานนี้  ณ  โรงแรมเอเชีย ราชเทวี  กรุงเทพฯ      โดยแยกออกเป็น 2 ชั้น    ชั้นแรก คือ  ความรู้ที่ทำให้การนำ KM เข้าไปใช้ในหน่วยงานได้สำเร็จ   ชั้นที่สอง คือ ความรู้ที่ทำให้งานขององค์กรสำเร็จ

ตอนคุยเตรียมงานผมคิดว่าเข้าใจโจทย์ดังกล่าวดีแล้ว   เลยไม่มีคำถามหรือข้อเสนอแนะใดๆเพิ่มเติม  เพียงคุยกับคุณสุนทรี ไพรศานติ  เลขานุการ ผอ.สคส.  ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกจับคู่ "คุณลิขิต" ชุดเดียวกับผม  (อีกคู่หนึ่ง คือ คุณอุรพิณ ชูเกาะทวด กับคุณชุติมา อินทรประเสริฐ)  เราคุยกันในรายละเอียดทางปฏิบัติว่าเราจะบันทึกกันอย่างไร และช่วยกันอย่างไร     เมื่อลงเวทีจริงเราก็มีการตระเตรียมติดตั้ง Computer รวมทั้ง เครื่องฉาย LCD และตรวจดูความเรียบร้อยว่า IT มันจะไม่เบี้ยวเรา และทำให้เราเกิดความยุ่งยากในตอนทำงานจริง    ทุกอย่าง OK  เครื่องมือพร้อม คนพร้อม  เราก็พอมีเวลานิดหน่อยไปช่วยกองหน้าที่รับงานลงทะเบียนซึ่งมีอยู่คนเดียว คือ คุณสุปราณี จริยะพร (คุณแกบ)   อีกทั้งต้องขายหนังสือและ CD   พอได้เวลาทุกคนก็กลับเข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งที่ถูกวางเอาไว้ทิ้งคุณสุปราณีเอาไว้หน้าห้องประชุมเพียงลำพัง

พอเริ่มงานไปได้ช่วงหนึ่ง  ซึ่งยังเป็นช่วงไตเติ้ล  เกริ่นนำ และบอกเล่าที่มาที่ไปของการเกิดเวทีประชุมครั้งนี้  จนพักเบรก     เออ..ลืมไปอย่างหนึ่งช่วงนี้มีการมอบรางวัล "คุณอำนวยผู้กล้า" ให้กับคุณสร้อยทอง เตชะสน  จากกรมอนามัย  และมีการเล่าเรื่องสอดแทรกเข้ามาในช่วงนี้ด้วย      หลังจากพักเวทีสั้นๆ ก็เริ่มเข้าสู่การเล่าเรื่องของทั้ง 6 หน่วยงานราชการที่พอจะทราบว่ามีการนำ KM ไปใช้ในการทำงาน       คุณลิขิตทั้งสองชุดก็เริ่มปฏิบัติการ   ลืมบอกไปว่าเราแบ่งช่วงการบันทึกแบบสลับชุดการทำงาน  เพราะจะได้มีเวลาปรับแต่งบันทึกพร้อมทั้งดึง ขุมความรู้ ในช่วงนั้น  

ความคาดหวังของเราชาวคณะ "คุณลิขิต"  ภาวนาว่าขอให้เรื่องเล่าแต่ละเรื่องนั้น  ออกมาเป็นเรื่องเล่าลงไปในเนื้อของการทำงานจริง  ไม่มีหลุดเรื่องเล่าแนวทฤษฎี KM ติดมา  เพราะว่าเราไม่อยากได้ความรู้เชิงทฤษฎีซักเท่าไร  เท่าทีแต่ละหน่วยงานมีคาดว่าตอนนี้ก็เป็นกระบุงแล้ว   มันน่าจะพอแล้ว    แต่ความรู้เชิงปฏิบัติต่างหากที่ยังมีน้อย  นี่หล่ะที่เราอยากได้มาก   

จุดหนึ่งที่น่าสนใจ   เกิดขึ้นระหว่างการสวมบทบาทคุณลิขิต จะว่าเป็นปัญหาก็ไม่ใช่  เป็นข้อจำกัดก็ไม่เชิง   น่าจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนมากกว่า เป็นจุดที่น่าสนใจค้นหา  คือ   เนื่องจากโจทย์หรือภารกิจของคุณลิขิต  ต้องดึง ขุมความรู้ 2 ชั้นอย่างที่กล่าวไปข้างต้น    แต่พอลงมือทำมันเกิดคำถามกับตัวเองว่า  เส้นแบ่งแยกระหว่าง 2 ชั้นนั้นอยู่ตรงไหน    ยิ่งพออาจารย์หมอวิจารณ์ พานิช   ย้ำประเด็นต้นๆตอนเปิดรายการประมาณว่า    การจัดการความรู้เป็นเพียงสื่อ  หรือพาหะที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายของงาน  และต้องทำให้เป็น KM inside  ในเนื้องานประจำ     ยิ่งทำให้เส้นแบ่งแยกดินแดนระหว่างความรู้ที่ทำให้  KM สำเร็จ กับ  ความรู้ที่ทำให้ภารกิจขององค์กรบรรลุเป้าหมายนั้น   ยิ่งพร่ามัวไปใหญ่เลย    

แต่อย่างไรก็ตาม  ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็พอแยกได้บ้างไม่ได้บ้าง   ปนกันไปบ้าง   เลยถามตัวเองว่าการแยกชั้นขุมความรู้ที่ทำอยู่นั้น  จำเป็นต้องเป๊ะ..เป๊ะหรือไม่?  คงจะไม่ถึงขนาดนั้น  ประเด็นที่น่าสนใจกว่านั้น  โดยส่วนตัวคิดว่า   การดึงขุมความรู้ออกมา  และทำให้เป็นนิจบนพื้นฐานงานประจำ  น่าจะเป็นจุดที่ต้องให้น้ำหนักในช่วงต้นมากกว่า  ซึ่งตรงนี้เกิดปิ๊ง idea จากข้อเสนอของอาจารย์หมอพิเชฐ อุดมรัตน์  คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์  ที่ว่า "น่าจะลองทำ ขุมความรู้ที่ได้จากการประชุมแต่ละครั้ง  แยกให้เห็นชัดเจนจากรูปแบบรายงานการประชุมแบบเดิมที่เคยทำประจำอยู่แล้ว" 

 

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 1758เขียนเมื่อ 29 กรกฎาคม 2005 09:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 13:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท