พี่เม่ยทำงานที่คณะแพทยศาสตร์มานาน 23 ปี พักอาศัยอยู่ใต้ชายคาของแฟลตบุคลากรที่คณะฯจัดสรรให้มาโดยตลอด จนเดี๋ยวนี้ครอบครัวขยายใหญ่ขึ้น(ทั้งจำนวนและขนาด) เวลาเดินในห้องพักต้องคอยหลบกันเหมือนรถที่สวนกันบนถนนในซอยแคบๆ ทำให้ต้องวางแผนขยับขยายหาที่พักถาวรเป็นของตัวเองตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา
และในที่สุดครอบครัวเราก็มีบ้านเป็นของตัวเองพร้อมบริเวณสำหรับปลูกต้นไม้อีกเล็กน้อย
|
|
มุมซ้าย
|
มุมขวา
|
ก็สนุกล่ะค่ะ วันๆก็ปลูกต้นไม้ รดน้ำพรวนดิน เก็บเศษหินเศษอิฐ ถอนหญ้าไปตามอัธยาศัย... แต่แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นจนได้... เพราะว่าลุงกับป้าบ้านตรงข้ามเลี้ยงแมวไว้ 2 ตัว แล้วเจ้ากรรมจริงๆ ที่ทุกวันมันต้องแอบเข้ามาในบ้านพี่เม่ย (เข้าได้สะดวกค่ะ เพราะกำแพงบ้าน"โปร่ง" ซะอย่างนั้น)เพื่อปลดทุกข์ทั้งหนักและเบา แถมปล่อยแบบไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางเสียด้วย คุณพ่อบ้านของพี่เม่ยก็ต้องตามไปตักทิ้ง หรือขุดดินฝังกลบให้เป็นประจำ
ใครจะทนไหว? กลิ่นของฝากจากเจ้าแมวเหมียวนั้นเหลือแสน ในที่สุดพวกเรา (พี่เม่ย คุณพ่อบ้าน น้องยิ้ม และน้องจิ้น) จึงต้องประชุมระดมสมอง (brainstorming) เพื่อหาทางแก้ไข
พี่เม่ยเสนอว่าเราควรจะทำรั้วบ้านให้ ทึบ ไปเลยเพื่อที่แมวจะลอดเข้ามาไม่ได้
คุณพ่อบ้านเสนอว่าคอยไล่มันไปบ่อยๆมันอาย ก็ไม่มากวนเราเอง(เขาเป็นคนที่ใจดีที่สุดในบ้านค่ะ พี่เม่ยกำลังจะเสนอให้ทำกับดักสัตว์แบบนายพรานล่าสัตว์อยู่พอดี ก็ต้องรีบเก็บไว้ในใจไม่กล้าพูด..)
ส่วนน้องยิ้มและน้องจิ้นเสนอว่าให้เลี้ยงหมาไว้ไล่แมว เข้าท่าแฮะ!..
หลังจากถกเถียงกันด้วยเหตุผลต่างๆนานา ในที่สุดก็มีมติเห็นพ้องกันว่า “เราต้องหาลูกหมามาเลี้ยง" เพื่อให้แมวกลัวแล้วไม่กล้าเข้าบ้านเราอีก.......
"..ในที่สุด ครอบครัวเราก็ได้แนวทางแก้ไขปัญหา จากการระดมสมอง และใช้เหตุผลในการเจรจา ของสมาชิกทุกคนในครอบครัว..."