โครงร่างงานวิจัย
หัวข้อเรื่องการวิจัย
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผาสุกของผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัย
ในเขตพื้นที่เกาะช้าง จังหวัดตราด
คำสำคัญ
ความผาสุก ครอบครัวสามวัย
ความสำคัญของปัญหา
สังคมปัจจุบันจำนวนผู้สูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับอันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางสาธารณสุขและการแพทย์
ทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้น ประกอบกับช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
อัตราการเกิดของประชากรค่อนข้างสูง
กลุ่มคนเหล่านี้จึงมีค่อนข้างมากจนทุกวันนี้
กล่าวคือจำนวนและสัดส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น
สำนักคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ได้คาดการณ์แนวโน้มว่าสัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มจากร้อยละ 7.2 ในปี
2533 เป็นร้อยละ 15.3 ในปี 2563 ( กระทรวงสาธารณสุข ; 2548 )
โดยธรรมชาติผู้ที่เข้าสู่วัยสูงอายุมักจะมีความเสื่อมทางอารมณ์และทางจิตใจ
ควบคู่ไปกับความเสื่อมโทรมทางกาย
ซึ่งความเสื่อมโทรมทางกายมักส่งผลให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเป็นบุคคลไร้ค่า
ต้องพึ่งพาผู้อื่น สูญเสียบทบาททางสังคม สูญเสียอำนาจในการปกครอง
ผู้สูงอายุจึงมีอารมณ์กังวล ใจน้อยง่าย
ซึ่งอารมณ์นี้มักเกิดกับผู้สูงอายุ ได้แก่อารมณ์เหงาและเศร้าโศก (
ศรีเรือน แก้วกังวาน , 2540 : 529 ) การศึกษาของสุทธิชัย
จิตะพันธุ์กุล ( 2540 : 6-7 )
ระบุถึงผู้สูงอายุสัดส่วนถึงร้อยละ3.6-4.3
ที่ต้องอาศัยอยู่ตามลำพัง ในจำนวนนั้น ผู้สูงอายุร้อยละ 20.9
ระบุถึงปัญหาของตนว่าเกี่ยวกับความเหงา
ในขณะที่มัณฑนีย์ บูรณสมภพ ( 2528 อ้างในศรีเรือน แก้วกังวาน ,
2533 : 87 ) วิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
จะเป็นผู้มีสุขภาพจิตดี
ซึ่งน่าจะมีผลทำให้ผู้สูงอายุมีระดับความพึงพอใจในชีวิตสูง
มีชีวิตอยู่อย่างมีความผาสุกได้
ลักษณะดังกล่าวน่าจะสามารถกล่าวได้ว่า
หากผู้สูงอายุได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดี
โดยเฉพาะการมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นคนในวัยเดียวกัน
คนต่างวัย คนในครอบครัว
หรือเพื่อนน่าจะนำไปสู่การมีสุขภาพจิตที่ดีและการอยู่อย่างมีความสุขของผู้สูงอายุได้
อย่างไรก็ตามสถานภาพทางสังคมในปัจจุบันซึ่งผู้สูงอายุและบุคคลต่างวัย
มักมีความแตกต่างกันมากทั้งในด้านความคิด ความเชื่อและการดำเนินชีวิต
ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางครอบครัวจากครอบครัวใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบางแง่มุม
ทั้งทางด้านอารมณ์ จิตใจและสังคมเช่นการไปวัดทำบุญกับลูกหลาน
รวมทั้งการพูดคุยกับบุคลต่างวัยลดน้อยลงส่งผลทำให้จิตใจ เหงาซึม
ไม่มีความสดชื่น
ความผาสุกโดยทั่วไปของผู้สูงอายุ หรือความรู้สึกเป็นสุกนั้น
เกิดจากความรู้สึกภายในจิตใจที่ผู้สูงอายุ มีความรู้สึก มีชีวิตชีวา
มีความสามารถในการควบคุมตนเอง
มีความรู้สึกเป็นสุขมากกว่าความวิตกกังวล ความรู้สึกซึมเศร้า
และความห่วงใยเกี่ยวกับภาวะสุขภาพโดยทั่วไป ( Dupuy, 1977 cited in
McDowell & Newell, 1987 ) มีความพึงพอใจในชีวิต
รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเองและสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย
( Kaplan etal., 1984 )
ด้วยเหตุดังกล่าวมาผู้วิจัยจึงมีความสนใจจะศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผาสุกของผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัยในสภาพแวดล้อมและสังคมต่างๆในพื้นที่เกาะช้าง
จังหวัดตราด
ซึ่งจะทำให้เราได้รับรู้ถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผาสุกของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
อันจะนำไปสู่การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมที่จะทำให้ผู้สูงอายุได้มีชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขทั้งทางกายและทางจิตใจ
อันน่าจะส่งผลให้เกิดความผาสุกขึ้น
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. ศึกษาความผาสุก ของผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัย
2.
เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผาสุกของผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัย
คำถามการวิจัยหรือสมมติฐาน
1.ความผาสุก เขตพื้นที่เกาะช้าง จังหวัดตราดเป็นอย่างไร
2. ปัจจัยส่วนบุคคล
การรับรู้ภาวะสุขภาพและสัมพันธภาพมีความสัมพันธ์กับความผาสุกของผู้สูงอายุหรือไม่อย่างไร
ตัวแปรการวิจัย
ตัวแปรต้น ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา
สถานภาพสมรส เศรษฐานะ การรับรู้ภาวะสุขภาพ
และสัมพันธภาพของผู้สูงอายุ
ตัวแปรตาม ความผาสุก
นิยามศัพท์การวิจัย
ครอบครัวสามวัย หมายถึง ครอบครัวขยายที่ประกอบด้วยสมาชิกบุคคล 3
วัยได้แก่เด็ก วัยผู้ใหญ่หนุ่มสาวที่เป็นบิดา มารดา ผู้สูงอายุ
ทั้งเพศชายและเพศหญิงในเขตพื้นที่เกาะช้าง จังหวัดตราด
ผู้สูงอายุ หมายถึง ผู้ที่ทีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป
ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีความเกี่ยวพันเป็น ปู่ ยา ตา ยาย กับเด็ก
มิใช่เป็นผู้รับจ้างดูแลเด็กหรือมีส่วนในการเลี้ยงดูเด็กและอยู่ในครอบครัวสามวัย
วัยเด็ก หมายถึง วัยเด็กแรกเกิด 0-5 ปี
ทั้งเพศชายและเพศหญิงอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดตราดและอยู่ในครอบครัวสามวัย
วัยผู้ใหญ่หนุ่มสาว หมายถึง บิดา มารดา ของเด็ก
ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เกาะช้างจังหวัดตราดและอยู่ในครอบครัวสามวัย
ความผาสุก หมายถึง ความรู้สึกมีความสุข มีความพอใจในชีวิต
วัดได้จากความสุขในการดำรงชีวิตประจำวัน ความรู้สึกกระฉับกระเฉง
ความสดชื่นแจ่มใสมีชีวิตชีวา มีพละกำลังมีอารมณ์มั่นคง
มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเอง รู้สึกมีความมั่นใจในตนเอง
และมีความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่ามีความรู้สึกเครียด หรือกังวลใจ
หรือว่าวุ่นใจ หรือท้อใจ หมดกำลังใจ หรือหมดหวัง หรือซึมเศร้า
หรือเป็นทุกข์ (อ้างในสกุลรัตน์ เตียววานิช , 2545 : 11 )
การรับรู้ภาวะสุขภาพ หมายถึง
การที่ผู้สูงอายุบอกถึงความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะสุขภาพโดยทั่วไปของตนเอง
ประกอบด้วย ความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของตนในปัจจุบัน
ความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของตนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
และความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของตนเมื่อเปรียบเทียบกับบุคลวัยเดียวกัน
สัมพันธภาพ หมายถึง
ความสัมพันธ์ของผู้สูงอายุกับครอบครัวและสังคม
การทบทวนวรรณกรรม
1.ความผาสุกของผู้สูงอายุ
2. แนวคิดเกี่ยวกับการสนับสนุนทางสังคม
3.ทฤษฏีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล Harry Stack Sullivan
4.
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความผาสุกในผู้สูงอายุ
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ขอบเขตการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ทำการศึกษาผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัยในเขตพื้นที่เกาะช้าง
จังหวัดตราด
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
1.
ได้ทราบถึงความผาสุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผาสุกของผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัยที่ดูแลเด็ก
2.
ผลการวิจัยจะได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดโครงการสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัย
3.
เป็นแนวทางศึกษาวิจัยในการส่งเสริมความผาสุกของผู้สูงอายุในประเด็นอื่นในอนาคต
แบบวิจัยประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (
Descriptive Research
)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์(
Correlation Study)ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล สัมพันธภาพ
การรับรู้ภาวะสุขภาพกับความผาสุกของผู้สูงอายุ
ประชากร
ประชากรที่ศึกษาในครั้งนี้ เป็นผู้สูงอายุที่ทีอายุตั้งแต่ 55
ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีความเกี่ยวพันเป็น ปู่ ยา ตา ยาย
หรือเป็นญาติกับเด็ก
มิใช่เป็นผู้รับจ้างดูแลเด็กหรือทำหน้าที่หรือมีส่วนในการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวสามวัยในเขตพื้นที่เกาะช้าง
จังหวัดตราด โดย
1.
สามารถสนทนาหรือตอบแบบสอบถามได้
2. เป็นผู้ยินยอมให้ความร่วมมือ
ในการศึกษาครั้งนี้ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2549 ถึง เดือน กุมภาพันธ์
2550
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัวสามวัยกระจายอยู่ในเขตเกาะช้าง
จังหวัดตราด ได้มาโดยการใช้หลักความน่าจะเป็น (Probability sampling)
ซึ่งใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling)
การคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ( Sample size)
ผู้วิจัยคำนวณโดยใช้สูตรของ Yamane (1973) ดังนี้
n =
N
1+ Ne
n =
ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
N =
ขนาดของประชากร
e =
ค่าความคลาดเคลื่อนของการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง
โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนของกลุ่มตัวอย่างไว้ที่ 0.05
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการตรวจสอบหาคุณภาพเครื่องมือ
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
คือ แบบสอบถามที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย นางสาวสกุลรัตน์
เตียววานิช และปรับปรุงจากแบบวัดของผู้วิจัยท่านอื่น
โดยแบบสอบถามออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1. ปัจจัยส่วนบุคล เช่น เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส
เศรษฐานะ
ส่วนที่ 2. แบบสอบถามความผาสุก
ส่วนที่ 3 . แบบสอบถามสัมพันธภาพ
ส่วนที่ 4 แบบสอบถามการรับรู้ภาวะสุขภาพ
ส่วนที่ 1.
ปัจจัยส่วนบุคลเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง
เป็นลักษณะให้เลือกตอบ ประกอบด้วย เพศ ระดับการศึกษา
สถานภาพสมรส เศรษฐานะ มีรายละเอียดดังนี้
เพศ แบ่งเป็น เพศชาย และเพศหญิง
ระดับการศึกษาแบ่งเป็น 4 ระดับ ระดับต่ำกว่าประถมศึกษา
ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษาขึ้นไป
สถานภาพสมรส แบ่งเป็น ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่รวมกัน(สถานภาพคู่)
กับผู้ที่ไม่ใช้ชีวิตอยู่รวมกัน( สถานภาพสมรสโสด หม้าย หย่า
แยก)
เศรษฐานะ แบ่งเป็น เพียงพอ กับ ไม่เพียงพอ
ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความผาสุก ประกอบด้วยข้อคำถาม 18
ข้อ แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 มีข้อคำถาม 14 ข้อ แบ่งเป็นข้อคำถามที่มีความหมายด้านบวก 7
ข้อ และทางด้านลบ 7 ข้อ ลักษณะคำตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 6 ระดับ (
0-5 คะแนน ) คะแนนรวมในส่วนที่ 1 จะอยู่ในช่วง 0-70 คะแนน
ส่วนที่ 2 มีข้อคำถาม 4 ข้อ แบ่งเป็น ข้อความที่มีความหมายด้านบวก 2
ข้อและทางลบ 2 ข้อ ลักษณะคำตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่าเชิงเส้นตรง จาก
0-10 คะแนน คะแนนรวมในส่วนที่ 2 นี้อยู่ในช่วง 0- 40 คะแนน
การตอบแบบสอบถามพิจารณาตามเกณฑ์ดังนี้
มากที่สุด
หมายถึง
ผู้ตอบมีความรู้สึกตรงกับข้อความในคำถามมากที่สุด
มาก
หมายถึง
ผู้ตอบมีความรู้สึกตรงกับข้อความในคำถามมาก
ค่อนข้างมาก
หมายถึง
ผู้ตอบมีความรู้สึกตรงกับข้อความในคำถามค่อนข้างมาก
ค่อนข้างน้อย
หมายถึง
ผู้ตอบมีความรู้สึกตรงกับข้อความในคำถามค่อนข้างน้อย
น้อย
หมายถึง
ผู้ตอบมีความรู้สึกตรงกับข้อความในคำถามน้อย
น้อยที่สุด
หมายถึง
ผู้ตอบมีความรู้สึกตรงกับข้อความในคำถามน้อยที่สุด
การพิจารณาตามเกณฑ์ดังนี้
ข้อความที่มีความหมายทางบวก
ข้อความที่มีความหมายทางลบ
ถ้าเลือกมากที่สุด
ให้คะแนน 5
คะแนน
ให้ 0 คะแนน
ถ้าเลือกมาก
ให้คะแนน 4
คะแนน
ให้ 1 คะแนน
ถ้าเลือกค่อนข้างมาก ให้คะแนน 3
คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ถ้าเลือกค่อนข้างน้อย ให้คะแนน 2
คะแนน
ให้ 3 คะแนน
ถ้าเลือกน้อย
ให้คะแนน 1
คะแนน
ให้ 4 คะแนน
ถ้าเลือกน้อยที่สุด
ให้คะแนน 0
คะแนน
ให้ 5 คะแนน
นำคะแนนจากตอนที่ 1 และตอนที่ 2 รวมกัน
คะแนนรวมทั้งหมดของแบบวัดจะอยู่ในช่วง0-110 คะแนน
การแปรคะแนนตามระดับความผาสุก
0-60 คะแนน หมายถึง
มีความผาสุกในชีวิตระดับต่ำ
61-72 คะแนน หมายถึง
มีความผาสุกในชีวิตระดับปานกลาง
73-110 คะแนน หมายถึง มีความผาสุกในชีวิตระดับสูง
ส่วนที่ 3. แบบสอบถามสัมพันธภาพ
มีจำนวน 15 ข้อ โดยคำถามแต่ละข้อมีคะแนนเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 3
ระดับ คือ ใช่ ไม่แน่ใจ ไม่ใช่
โดยกำหนดเกณฑ์ประมาณค่าไว้ดังนี้
ไม่ใช่
หมายถึง
รู้สึกว่าสุขภาพโดยทั่วไปไม่ดี
ไม่แน่ใจ
หมายถึง
รู้สึกว่าสุขภาพทั่วไปอยู่ระดับปานกลาง
ใช่
หมายถึง
รู้สึกว่าสุขภาพทั่วไปดี
เกณฑ์การให้คะแนน
ใช่
ให้คะแนน
3
คะแนน
ไม่แน่ใจ
ให้คะแนน
2
คะแนน
ไม่ใช่
ให้คะแนน
1
คะแนน
การแปรผลพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยดังนี้
แบ่งออกเป็น 3 ดับ โดยคำนวณความกว้างของแต่ละระดับตามสูตรดังนี้ (
Daniel , 1991:7)
พิสัยของช่วงคะแนน =
ค่าคะแนนสูงสุด -
ค่าคะแนนต่ำสุด
ระดับที่ต้องการ
การแปลผลคะแนนระดับสัมพันธภาพได้ดังนี้
ค่าคะแนนเฉลี่ย 2.34-
3.00 สัมพันธภาพอยู่ในระดับดี
ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.67-
2.33 สัมพันธภาพอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.00 –
1.66 สัมพันธภาพอยู่ในระดับไม่ดี
ส่วนที่ 4.
แบบสอบถามการรับรู้ภาวะสุขภาพ มีจำนวน 3 ข้อ
โดยคำถามแต่ละข้อมีคะแนนเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ คือ ไม่ดี
ปานกลาง และดี โดยกำหนดเกณฑ์ประมาณค่าไว้ดังนี้
ไม่ดี
หมายถึง
รู้สึกว่าสุขภาพโดยทั่วไปไม่ดี
ปานกลาง
หมายถึง
รู้สึกว่าสุขภาพทั่วไปอยู่ระดับปานกลาง
ดี
หมายถึง
รู้สึกว่าสุขภาพทั่วไปดี
เกณฑ์การให้คะแนน
ดี
ให้คะแนน
3
คะแนน
ปานกลาง
ให้คะแนน
2
คะแนน
ไม่ดี
ให้คะแนน
1
คะแนน
การแปรผลพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยดังนี้
แบ่งออกเป็น 3 ดับ โดยคำนวณความกว้างของแต่ละระดับตามสูตรดังนี้ (
Daniel , 1991:7)
พิสัยของช่วงคะแนน =
ค่าคะแนนสูงสุด -
ค่าคะแนนต่ำสุด
ระดับที่ต้องการ
การแปลผลคะแนนระดับของการรับรู้ภาวะสุขภาพได้ดังนี้
ค่าคะแนนเฉลี่ย 2.34-
3.00
ภาวะสุขภาพตามการรับรู้อยู่ในรับดี
ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.67-
2.33
ภาวะสุขภาพตามการรับรู้อยู่ในระดับปานกลาง
ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.00 –
1.66
ภาวะสุขภาพตามการรับรู้อยู่ในระดับไม่ดี
การหาคุณภาพเครื่องมือ
การหาความตรงตามเนื้อหา
(Content Validity )
เป็นการหาความเที่ยงตรงของแบบสอบถามในด้านสำนวนภาษา
และการใช้ข้อความซึ่งเกี่ยวกับวิธีการคำศัพท์เฉพาะของผู้สูงอายุ
โดยผู้วิจัยนำแบบสอบที่ขอยืมมาจากผู้วิจัยท่านอื่นที่ได้ตรวจสอบแล้วจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน
8 ท่าน ความเห็นตรงกันร้อยละ 80 แล้ว
การหาความเที่ยง(Reliability
) ของแบบสอบถามโดยนำไปใช้ทดลองใช้
กับผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัยที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง
แล้วนำมาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดและหาความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธ์แอลฟา
( alpha – coefficient ) ของ Cronbach
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1.
เขียนโครงร่างวิจัยพร้อมเครื่องมือการวิจัยส่งคณะพยาบาลศาสตร์
2.
ผู้วิจัยขอหนังสือแนะนำตัวจากคณะพยาบาลศาสตร์ถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะช้าง
พร้อมทั้งส่งโครงร่างวิจัยพร้อมเครื่องมือในการวิจัย
เพื่อขออนุญาตลงพื้นที่เก็บข้อมูล
3.
ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการลงสำรวจตามพื้นที่เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว
4. สัมภาษณ์ผู้สูงอายุในครอบครัวสามวัยในพื้นที่เกาะช้าง
จังหวัดตราด
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูล
โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรม SPSS / PC+
ในการประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูล
โดยมีขั้นตอนดังนี้
-
วิเคราะห์ข้อมูล เพศ สถานภาพสมรส เศรษฐานะ ระดับการศึกษา
ด้วยสถิติพื้นฐานความถี่และร้อยละ
-
วิเคราะห์ การรับรู้ภาวะสุขภาพ สัมพันธภาพ
ความผาสุกด้วยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จำแนกตามรายข้อ
รายด้านโดยรวม
-
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง เพศ เศรษฐานะ สถานภาพสมรส
ระดับการศึกษากับความผาสุกด้วย สถิติทดสอบไคสแควร์
และทดสอบความมีนัยสำคัญของค่าสัมประสิทธิ์การจรณ์
ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ.05
-
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง การรับรู้ภาวะสุขภาพ สัมพันธภาพ
กับความผาสุก
ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและทดสอบความมีนัยสำคัญของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
โดยสถิติทดสอบที ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05