พันธกิจทางสังคมของสื่อมวลชนมิได้มีเพียงการให้ข้อมูลข่าวสาร
ให้ความบันเทิงเพลิดเพลินแก่สมาชิกในสังคม ช่วยรณรงค์ทางสังคม
การเมือง และเศรษฐกิจ ฯลฯ ตามหน้าที่หลักของสื่อแบบเดิมๆ
อย่างที่เราคุ้นเคยกันเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน
เมื่อสื่อถูกผนวกเข้ากับกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
สื่อยังถูกใช้ประโยชน์เพื่อกำหนดหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของเราในฐานะผู้บริโภคสื่อให้เป็นไปในแบบที่สื่อ
รวมทั้งกลุ่มทุนทางเศรษฐกิจและกลุ่มอำนาจต่างๆต้องการอีกด้วย
สื่อสามารถทำในสิ่งดังกล่าวได้
ก็เพราะสื่ออยู่ในฐานะของผู้รักษาช่องทางข่าวสาร (gatekeeper)
คัดเลือก กลั่นกรองเรื่องราวหรือประเด็นต่างๆ ที่จะรายงานสู่สาธารณชน
สื่อเป็น ผู้กำหนดว่าอะไรที่เราจะได้อ่าน ได้เห็น หรือได้ยินได้ฟัง
นอกจากนี้ สื่อยังแสดงตนในฐานะของการเป็นผู้กำหนดวาระทางสังคม (agenda
setter) เพื่อเสนอแนะว่า
เราควรจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นที่สื่อนำเสนอมา
ซึ่งสื่อแต่ละชนิดนั้นต่างก็มีวิธีการในการสร้างวาระ (agendas)
ที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติหรือคุณลักษณะของสื่อแต่ละประเภท เช่น
สื่อโทรทัศน์จะใช้วิธีการทำงานของกล้อง การใช้ภาพกราฟฟิค
การวางตำแหน่งของข่าว (นำเสนอในตอนเริ่มต้นหรือท้ายสุด)
หรือการสร้างเหตุการณ์เสมือนจริงในการนำเสนอข่าว
ในขณะที่สื่อหนังสือพิมพ์นั้น
เราจะรู้ได้ว่าฉบับไหนให้ความสำคัญต่อเรื่องราวหรือประเด็นใดมากน้อยต่างกัน
สามารถสังเกตได้จากปริมาณของเนื้อหาข่าวที่สื่อนำเสนอ (มากหรือน้อย)
ลักษณะของการจัดวางหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
จากพันธกิจที่เปลี่ยนไปของสื่อดังกล่าว
เราในฐานะผู้รับสารหรือผู้บริโภคสื่อควรจะพัฒนาตนให้มีความสามารถในการรับสารจากสื่อที่เราบริโภคอย่างรอบคอบ
คำถามก็คือว่า แล้วเราจะเป็นผู้บริโภคสื่อที่ดีได้อย่างไร
คำตอบที่เสนอเป็นทางเลือกส่วนหนึ่งก็คือ
เราควรจะตระหนักในประเด็นดังต่อไปนี้
ในระหว่างที่เราแปลความหมายจากสิ่งที่สื่อนำเสนอมา
1. ในการทำงานของสื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งบริษัทโฆษณาต่างๆ
ล้วนผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกกลั่นกรองอย่างมากว่า
เราในฐานะผู้ชมจะได้เห็นอะไร และเห็นอย่างไร (what you see and how
you see it) ไม่ว่าเราจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฟังวิทยุ
หรือดูโทรทัศน์ ขอให้จำไว้เสมอว่า
ในกระบวนการทำงานของสื่อนั้นยังมีเบื้องหลังเบื้องลึก มี “ใคร”
ที่คอยตัดสินใจว่า อะไรจะเลือกมานำเสนอ อะไรที่จะเป็นประเด็นสำคัญ
และประเด็นนั้นจะถูกนำเสนอย่างไร
2. สิ่งที่ควรระวังที่สุดสำหรับเราในฐานะผู้บริโภคก็คือ
ต้องไม่พึ่งพาแหล่งข่าวสารจากแหล่งข่าวสารใดเพียงแหล่งเดียวหรือจากสื่อเดียว
หากว่าเราใช้แหล่งข่าวสารจากหลายๆแหล่งด้วยกันจะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า
เนื้อหาที่สื่อแต่ละสื่อนำมาเสนอนั้นแตกต่างกันอย่างไร เช่น
หากดูข่าวจากทีวีช่องหนึ่งก็ควรจะดูข่าวในประเด็นเดียวกันนั้นจากทีวีช่องอื่นด้วย
หรือเลือกดูทั้งจากทีวี
และอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
3. ถึงแม้ว่าเป้าหมายหลักของสื่อมวลชนต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร
วิทยุ และโทรทัศน์ จะต้องการนำเสนอข่าวสารให้กับผู้รับ
แต่ทว่าแต่ละสื่อนั้นก็นำเสนอข่าวในวิถีทางที่จะนำผลประโยชน์มาสู่บริษัทของตนด้วยกันทั้งนั้น
ขณะเดียวกัน
เป้าประสงค์ที่ขัดแย้งกันดังกล่าวอาจทำให้บางสื่อทำอะไรก็ได้
เพื่อให้ผู้รับสารซื้อสิ่งพิมพ์ของตนหรือดูรายการของตน
4. สื่อบางสื่อมีอคติส่วนตัว มีขนบธรรมเนียมองค์กร
หรือตัวบุคคลในสื่อนั้นๆ มาจากภูมิหลังที่แตกต่างกันไป
ปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการนำเสนอข่าวสารของสื่อทั้งสิ้น ดังนั้น
เมื่อเรารับสารจากสื่อ ขอให้ตระหนักถึงอคติในสื่อและปัจจัยต่างๆ
ที่อาจแทรกมาระหว่างบรรทัดที่เราอ่านหรือดูสื่อนั้นๆด้วย
5.
จะเป็นผู้บริโภคที่ดีได้ก็จะต้องเรียนรู้ให้มากที่สุดถึงธรรมชาติและการทำงานของสื่อหรือแหล่งข่าวสารทุกชนิดด้วย
(รวมถึงสื่อบุคคล สื่อพื้นบ้าน และสื่อประชาสัมพันธ์พิเศษต่างๆ)
พร้อมๆกันนั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจ วิเคราะห์
และประเมินต่อสิ่งต่างๆที่เราได้รับจากการบอกเล่าต่อๆ กันมา
หรือรับมาจากสื่อ
หรือสารจากโฆษณาในสื่อประเภทต่างๆ
คำตอบทั้ง 5
ข้อดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามในการหาทางเลือกเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในระหว่างการบริโภคสารจากสื่อ
เพื่อให้เราได้เป็นผู้บริโภคสื่อที่ดีด้วยกัน
แล้วคุณหละมีคำตอบของตัวเองอย่างไร อยากให้มาแลกเปลี่ยนกัน
มารวมพลังกันในการรู้เท่าทันสื่อเพื่อสุขภาพของตัวเราทุกคน
โดยอาจารย์นิษฐา
หรุ่นเกษม
โครงการ สื่อสร้างสรรค์สุขภาพ
update 28/02/2006