กำจร หลุยยะพงศ์
28 ธันวาคม 2548
มีคนบอกว่า คนแก่ก็คือไม้ใกล้ฝั่งที่รอเพียงวันตายเท่านั้น
แต่สำหรับลุงจวน ผลเกิด ราษฎรอาวุโสแห่งจังหวัดพิจิตร
คำกล่าวนี้อาจใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว เพราะลุงจวนมองว่า
ความแก่ชรากลับเป็นดังประสบการณ์ล้ำค่าที่จะส่งทอดให้กับลูกหลานสืบต่อไป
เบื้องหน้าของผมคือ ลุงจวน ผลเกิด อายุอานามเฉียด 70 ปี
ผมสีเงินทั่วศีรษะ ร่างกายบอบบาง แต่แววตากลับมีไฟแรงกล้า
แกบอกกับผู้เข้าร่วมประชุมในงาน “พี่ช่วยน้อง”
จัดโดยโครงการสื่อพื้นบ้านสื่อสารสุข ด้วยการสนับสนุนจาก สสส. ว่า
สนใจจะร่วมทำโครงการ “หล่อเทียนหลอมใจคนในชุมชน”
เพื่อการพัฒนาสุขภาพชีวิตของชุมชนในจังหวัดพิจิตร
ผู้เฒ่าจวนเล่าให้ฟังเพิ่มว่าแกเป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมผู้สูงอายุแห่งจังหวัดพิจิตรที่มีจำนวนสมาชิกประมาณ
340 คน จาก 9 หมู่บ้าน
ผู้สูงอายุมารวมตัวกันได้ก็เพราะมาตรวจสุขภาพประจำสามเดือน
และเมื่อรู้จักกันแล้วก็ร่วมคิดว่า แม้วัยของพวกตนจะค่อย ๆ
เจือจางลงไปพร้อมกับการเดินทางของเข็มนาฬิกาที่รุกหน้าไปเรื่อย ๆ
หากนั่งรอความตาย โดยไม่ได้ทำอะไรให้กับลูกหลาน ความรู้
ประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็จะสูญสลายไปเฉย ๆ ด้วยเหตุนี้ ลุงจวนกับเพื่อน
ๆ เช่น ลุงหนูหริ่น ทองภูบาล และลุงณรงค์ แสงจันทร์
หันมาจับมือร่วมมือกันทำกิจกรรมของผู้สูงอายุเพื่อชุมชน
ในระยะแรกก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการ
ถือเป็นขั้นเตรียมตัวกลุ่มผู้สูงอายุ
ลุงจวนกับผองเพื่อนซึ่งอายุศิริรวมมากกว่า 1000 ปี
ริเริ่มทำกิจกรรมทำกลองรำมะนา
เพื่อให้ผู้สูงอายุได้หันมาย้อนอดีตถึงศิลปะแห่งดนตรีไทย ร่วมร้อง
เต้นรำ อันช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความสุขสบายทั้งกายและใจ รวมถึง
ได้สานสายใยความเข้มแข็งให้กับกลุ่มผู้สูงอายุอีกด้วย
หลังจากนั้น เมื่อสุขภาพกาย ใจ
และสังคมของบรรดากลุ่มผู้สูงอายุจังหวัดพิจิตรเข้มแข็งยิ่งกว่านักเตะทีมชาติแล้ว
ลุงจวนกับพรรคพวกก็เริ่มคิดถึงบรรดาลูกหลานและคนในชุมชนจังหวัดพิจิตรว่า
มิได้แต่เพียงคนเฒ่าคนแก่จะมีความสุขเท่านั้น
คนในชุมชนก็น่าจะมีความสุขได้เช่นกัน
แต่ภายใต้ความผันแปรทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคดาวเทียมเช่นนี้
ความสุขของคนในชุมชนดูเหมือนว่าจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว ลุงจวน
หยุดถอนหายใจชั่วครู่ และเล่าต่อว่า
คนในชุมชนต่างไม่รู้จักกันซึ่งกันและกัน บางคนลืมไปว่าเคยเป็นพี่น้อง
ต่างคนต่างทำงาน และหลายคนก็คำนึงถึงเรื่องเงินเป็นหลัก
จนกระทั่งลืมนึกถึงความสุขที่แท้จริงจากร่มพระพุทธศาสนา
เพื่อการสร้างเสริมชุมชนให้เข้มแข็งทั้งกาย ใจ สังคม
และปัญญาแห่งพุทธศาสนา
บรรดาผู้เฒ่าจึงได้คิดหาหนทางแก้ไขด้วยการคิดกิจกรรม
“หล่อเทียนหลอมใจคนในชุมชน” ขึ้นมา
ลุงจวนถามผมว่า รู้จักงานหล่อเทียนหรือไม่ ผมตอบไปพลันว่า
ไม่รู้จักไม่เคยเห็น แต่รู้ว่าในช่วงก่อนเข้าพรรษา
ผู้คนก็จะเอาเทียนไปถวายวัด ลุงจวนยิ้มอย่างอารมณ์ดีและกล่าวว่า
คนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณนั้น
มองเทียนก็เป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่ถวายวัดเท่านั้นเอง เผลอ ๆ
บางคนก็เลิกถวายเทียนเปลี่ยนเป็นหลอดไฟนีออนแทนแล้ว
แต่สำหรับลุงจวนการหล่อเทียนมีอะไรมากกว่านั้น
ในเชิงสัญลักษณ์เทียนหรือประทีปเปรียบประดุจปัญญาในพระพุทธศาสนา
เมื่อจุดเทียนก็เท่ากับการจุดแสงสว่างที่จะนำพาสู่ความสุขและปัญญา
คนในยุคอดีตจึงนิยมที่จะถวายเทียนแด่วัดเพื่อเพิ่มพูนทั้งปัญญาและการให้แสงสว่างแก่พระศาสนามากยิ่งขึ้น
ยิ่งกว่านั้น หากพิจารณาให้ลึกซึ้งขึ้น
คนโบราณยังมองเทียนในมิติของการเป็นเครื่องมือหลอมรวมใจของชาวพุทธในชุมชนอีกด้วย
ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากว่า เทียนแต่ละเล่มที่จะถวายแด่วัดนั้น
มิได้ซื้อหามาจากร้านขายของชำหรือห้างใหญ่โต แต่กลับนำมาจาก
“น้ำตาเทียน” ของแต่ละบ้านแต่ละเรือน
ที่จะรวบรวมเก็บเล็กผสมน้อยและนำมาหลอมรวมกันในวันเดียวกัน
เพราะคนในอดีตเชื่อกันว่า การทำบุญกับวัดนั้น
ควรที่จะร่วมด้วยช่วยกันทำบุญ ตลอดจน
ยังถือเป็นสัญญาณแห่งความร่วมมือร่วมใจและการเป็นญาติพี่น้องของคนในชุมชนด้วยกัน
ยามพายุแห่งสังคมสมัยโลกาภิวัตน์พัดผ่านมา
ความเชื่อของศาสนาพุทธอ่อนลงไปพร้อมกับการเติบใหญ่ของลัทธิทุนนิยม
คุณลุงถึงกับเอ่ยปากว่า “ความเอื้ออาทรที่เคยมีมาในหมู่บ้านก็ลดหายไป”
การร่วมแรงใจเก็บน้ำตาเทียนตามเรือนต่าง ๆ ก็ลดน้อยลง
และแทนที่ด้วยการซื้อหาเทียนจากห้างขนาดใหญ่ หรือมิฉะนั้น
ผู้คนก็มองว่า ก็ซื้อหลอดไฟนีออนถวายวัดไม่ดีกว่าหรือ?
ผู้เฒ่าหันมาถามผมอีกว่า หลอดไฟนีออนแตกต่างจากเทียนอย่างไรรู้ไหม
ผมส่ายหน้า ผู้เฒ่ายิ้มให้กับผมและเฉลยว่า
หลอดไฟนีออนแม้จะมีข้อดีคือแสงสว่างกว่า แต่ทว่า
มันเป็นแสงที่หมดได้ตลอดจนสิ้นเปลืองพลังงาน
และที่สำคัญคือมันไม่สามารถรีไซเคิลได้
ต่างไปจากเทียนที่หล่อขึ้นมาจากการหลอมรวมดวงใจของคนในชุมชน
ที่ทั้งสามารถนำน้ำตาเทียนกลับมาหลอมใหม่เป็นเทียนแท่งใหม่ รวมถึง
ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนก็ยังคงถูกต่อเติมและหล่อหลอมกันตลอดไปตราบใดที่ยังมีการหล่อเทียนเพื่อจรรโลงศาสนาอยู่
ดัชนีชี้วัดความเข้มแข็งของชุมชนที่เคยถูกประกาศมา เช่น
เศรษฐกิจพอเพียง การเมืองประชาธิปไตย และอื่น ๆ นั้น
อาจต้องเติมขึ้นอีกข้อหนึ่งก็คือ
หากชุมชนใดยังร่วมกันหล่อเทียนก็ย่อมเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นพลังอันเข้มข้นของชุมชน
คุณลุงหยุดจิบน้ำและเล่าให้ฟังต่อว่าในช่วงแรกของการทำกิจกรรมในปี
2543 มีหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการเพียงหนึ่งหมู่บ้าน
แต่ภายหลังจากนั้น เมื่อคนในหมู่บ้านอื่น ๆ
ในจังหวัดพิจิตรได้เห็นกิจกรรมที่บรรดาผู้สูงอายุได้เข้าร่วมกันทำเพื่อสร้างสายสัมพันธ์แก่ลูกหลานแล้ว
ก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับในปีที่ผ่านมาได้ทำบุญถวายเทียนแก่วัดถึง 7-8 วัด
และสำหรับในปีนี้ซึ่งจะทำโครงการร่วมกับสื่อพื้นบ้านสื่อสารสุข
คุณลุงจวนหมายมั่นปั้นมือที่จะทำการหล่อเทียนให้มากถึง 9-10 วัด
เคล็ดลับสำคัญที่ลุงจวนและชาวคณะผู้สูงอายุดำเนินงานก็คือการวางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบ
แม้งานหล่อเทียนจะมีขึ้นก่อนวันเข้าพรรษาก็ตามที
แต่คุณลุงกลับเตรียมวางแผนการทำงานตลอดปี หรือเรียกว่า
“ทำงานวันเดียว(แต่)เกี่ยวทั้งปี”
คุณลุงเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่การประสานงานกับแกนนำหมู่บ้านต่าง ๆ
ผ่านเครือข่ายผู้สูงอายุ อบต. วัด และโรงเรียน
โดยประกาศให้ร่วมกันเก็บน้ำตาเทียนตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังจากนั้น
คุณลุงจวนก็ใช้เทคนิคเชิงรุกด้วยการสอนเบื้องหลังวิธีคิดเกี่ยวกับเทียน
รวมถึงวิธีการหล่อเทียนให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ในชุมชน
เพื่อให้เด็กและครูได้ทดลองการทำเทียนแบบง่าย ๆ
ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเทียน การทำความสะอาดเศษเทียน และการหลอม
เมื่อเด็กและครูเข้าใจก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญที่จะกระตุ้นคนในชุมชนเพื่อการหล่อเทียนในงานใหญ่
ซึ่งจะประกอบไปด้วยน้ำตาเทียนของคนทั้งชุมชน ยิ่งกว่านั้น
ยังจะมีการทำพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในการหล่อเทียนอีกด้วย
จากการทำงานมาหลายปี คุณลุงจวนพบว่า
นอกเหนือจากจำนวนคนเริ่มเข้ามาหล่อเทียนร่วมใจกันในชุมชนมากขึ้นแล้ว
ยังส่งผลให้มีเงินเหลือในการทำบุญ เพราะไม่ต้องซื้อเทียนหรือหลอดนีออน
แต่นำสิ่งเหลือใช้คือ “น้ำตาเทียน” มารีไซเคิลเป็นประทีปแห่งปัญญา
เงินส่วนที่ได้มานั้น
แม้จะไม่มากนักแต่ก็สามารถนำมาทำกิจกรรมเพื่อชุมชนได้อีก เช่น
การทำเกษตรปลอดสารพิษ การซื้ออุปกรณ์การเกษตรต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ความสำเร็จของการรีไซเคิลน้ำตาเทียนเพื่อทำเทียนถวายวัด
ไม่เพียงแต่การจุดแสงสว่างแก่พระพุทธศาสนา
เปลวเทียนที่จุดขึ้นนั้นยังถือเป็นการจุดประกายให้เห็นความสัมพันธ์ของคนในชุมชนที่เคยมอดดับลงจากลมแห่งภายุทุนนิยมที่โหมกระหน่ำให้กับฟื้นพลังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ณ ขณะนี้
คุณลุงจวนได้เผยแพร่ความรู้และแนวทางการหล่อเทียนรวมใจของชุมชนคนพิจิตรให้กับคนในจังหวัดต่าง
ๆ เช่น ในจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดอื่น ๆ ที่สนใจ
และสำหรับคนที่สนใจคุณลุงก็เชื้อเชิญให้ไปลองดูงานหล่อเทียนของชุมชนในปีนี้
คุณลุงทอดสายตามองไปข้างหน้าพร้อมคาดหวังว่า
ไฟจากเทียนที่คุณลุงพยายามจุดขึ้นให้กับลูกหลานเพื่อต่อสู้กับวิกฤติการณ์ของโรคสมัยใหม่
น่าจะทวีขึ้นไปเรื่อย จากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่
และในอนาคตน่าจะลุกติดขึ้นทั่วไทยได้
และเมื่อเทียนแห่งความสามัคคีและพลังปัญญาสุขสว่างทั่วไทย ยามนั้น
สังคมไทยก็จะมีความสุขเฉกเช่นเดียวกันกับคุณลุงในขณะนี้
update 28/02/2006