องค์ของรัฐในความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
1. หลักทฤษฎีทั่วไปในการคุ้มกันผู้แทนรัฐ
- ทฤษฎีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หมายถึง การให้ความสำคัญกับอำนาจอธิปไตยของดินแดน แม้อยู่ในดินแดนของรัฐอื่น ก็ควรได้รับการปฏิบัติเสมือนอธิปไตยของรัฐที่ส่งผู้แทนไป
- ทฤษฎีลักษณะตัวแทน หมายถึง การให้ความสำคัญกับผู้แทนของรัฐ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นบุคคลสำคัญ ได้แก่ ประมุขของรัฐ รัฐมนตรีต่างประเทศ ทูตหรือกงสุล อันเป็นบุคคลที่ควรได้รับการเคารพในเกียรติยศ ศักดิ์ศรีจากการแต่งตั้งไป
- ทฤษฎีความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ หมายถึง การให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการทำงานจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระ และปราศจากความหวั่นเกรงต่ออิทธิพลใดๆ อันจะกระทบต่อตนเองและครอบครัวได้
2. องค์กรภายในของรัฐที่ไปมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- ประมุขของรัฐ โดยถือว่าเป็นองค์กรสูงสุดในความสัมพันธ์กับต่างประเทศ แต่ปัจจุบันประมุขของรัฐมีบทบาทในด้านนี้น้อยลงกว่าเดิมมาก เนื่องจากวิวัฒนาการทางการเมืองและการปกครองได้เปลี่ยนแปลงและมีความสับซ้อนมากขึ้น จึงทำให้ประมุขของรัฐต้องมอบอำนาจให้แก่องค์กรอื่นไปดำเนินการแทนเกือบทั้งหมด
- รัฐมนตรีต่างประเทศ โดยถือว่ารัฐมนตรีต่างประเทศนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในด้านการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยถือได้ว่าเป็นองค์กรหลักที่สำคัญรองลงมาจากประมุขของรัฐเลยที่เดียว การกระทำของรัฐมนตรีต่างประเทศจะผูกพันรัฐ ในกรณีที่เดินทางไปติดต่อกับต่างประเทศจะได้รับเกียรติ เอกสิทธิ และความคุ้มกันอย่างสมบูรณ์จากรัฐต่างประเทศ
3. องค์กรภายนอกของรัฐที่ไปมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
3.1 ผู้แทนทางการทูต ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐนั้นมีมาเป็นเวลาช้านานจนกลายเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป และได้มีการประมวลหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ซึ่งมีรัฐต่างๆ เป็นภาคีและประเทศไทยเองก็เข้ามาเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว และได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต พ.ศ. 2527 เพื่ออนุวัติการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ดังนั้นตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว การที่รัฐสองรัฐหรือกว่านั้นแต่งตั้งบุคคลเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตไปประจำอีกรัฐหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่รัฐทั้งสองหรือรัฐเหล่านั้นตกลงยินยอมกันโดยรัฐผู้ส่งจะแต่งตั้งตัวแทนทางการทูตไปประจำยังรัฐผู้รับ โดยรัฐผู้รับต้องให้ความเห็นชอบต่อบุคคลที่รัฐผู้ส่งแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน และลักษณะการแต่งตั้งจะต้องมี “ตราสารแต่งตั้ง” จากผู้ที่มีอำนาจเต็มจากรัฐผู้ส่งเสมอ
บุคคลในคณะทูต ที่ได้รับความคุ้มครองประกอบด้วย
ก. ตัวแทนทางการทูต ซึ่งได้แก่หัวหน้าคณะหรือบุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายทูตของคณะผู้แทน
ข. บุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการและฝ่ายวิชาการ
ค. คนรับใช้ส่วนตัว
ลำดับชั้นของผู้แทนทางการทูต หัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตที่รัฐบาลผู้ส่งอาจส่งไปประจำยังรัฐผู้รับนั้นแบ่งเป็น 3 ชั้นคือ
1. ชั้นเอกอัครราชทูต หรือเอกอัครสมณทูต ซึ่งแต่งตั้งไปยังประมุขของรัฐผู้รับ ตลอดทั้งหัวหน้าคณะผู้แทนอื่นที่มีชั้นเทียบเท่า
2. ชั้นรัฐทูต อัครราชทูตและอัครสมณทูตซึ่งแต่งตั้งไปยังประมุขของรัฐผู้รับ
3. ชั้นอุปทูต ซึ่งแต่งตั้งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐผู้รับ
อำนาจหน้าที่ของผู้แทนทางการทูต
- เป็นตัวแทนของรัฐผู้ส่งในรัฐผู้รับ
- ปกป้องผลประโยชน์ของรัฐและบุคคลในสัญชาติของรัฐตนเองภายใต้ข้อกำหนดแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ
- เจรจากับรัฐที่ตนประจำอยู่และอาจลงนามในสนธิสัญญาแต่ต้องกระทำภายใต้อำนาจของรัฐตน
- สืบเสาะสภาวะหรือเหตุการณ์ รวมทั้งวิวัฒนาการของเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์แห่งรัฐตนโดยวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย
- ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐผู้ส่งและรัฐผู้รับ รวมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์
สิทธิพิเศษของผู้แทนทางการทูต
1. สิทธิล่วงละเมิดมิได้ หมายถึง สิทธิล่วงละเมิดมิได้ในตัวบุคคลของผู้แทนทางการทูต ที่มีอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 มาตรา 29 กำหนดไว้ว่าตัวผู้แทนทางการทูตจะถูกละเมิดมิได้ ตัวแทนทางการทูตจะไม่ถูกจับกุม หรือกักขังในรูปใด ให้รัฐผู้รับปฏิบัติต่อตัวแทนทางทูหมดที่จะป้องกันการประทุษร้ายใดต่อตัวบุคคล เสรีภาพ หรือเกียรติของตัวแทนทางทูต
สิทธิล่วงละเมิดครอบคลุมถึงสิทธิในสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ด้วย สถานทูตจะได้รับความคุ้มกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงที่อยู่อาศัยส่วนตัวของผู้แทนทางการทูตด้วย
2. สิทธิได้รับยกเว้นทางศาล หมายถึง เป็นการประกันการปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระของคณะทูตซึ่งอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1961 มาตรา 31 ระบุว่าให้สิทธิผู้แทนทางการทูตไม่อาจถูกฟ้องร้องต่อศาลของรัฐที่ตนประจำอยู่ ซึ่งรวมทั้งคณะในทางแพ่ง หรือคดีอาญา แม้ว่าจะเป็นการกระทำในหรือนอกหน้าที่ก็ตาม
ข้อยกเว้นที่ผู้แทนทางการทูตอาจถูกฟ้องได้
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 มาตรา 31 ตอนท้ายบัญญัติว่า ตัวแทนทางทูตจะได้รับความคุ้มกันจากเขตอำนาจทางอาญาของรัฐผู้รับและตัวแทนทางทูตจะได้รับความคุ้มกันจากเขตอำนาจทางแพ่งและทางปกครองของรัฐผู้รับด้วย เว้นแต่ในกรณีของ
ก. การดำเนินคดีทางทรัพย์สิน หรือสิทธิครอบครองเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวของตัวแทนทางทูต ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนของรัฐผู้รับ เว้นแต่ตัวแทนทางทูตจะยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นในนามของรัฐผู้ส่ง
ข. การดำเนินคดีเกี่ยวกับการสืบมรดก ซึ่งเกี่ยวพันถึงตัวแทนทางทูต ในฐานะผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม หรือผู้จัดการมรดกโดยศาลตั้ง หรือผู้รับมรดกในฐานะเอกชนและมิใช่ในนามของรัฐผู้ส่ง
ค. การดำเนินคดีเกี่ยวกับกิจกรรมใดในทางวิชาชีพหรือพาณิชย์ ซึ่งตัวแทนทางทูตได้กระทำในรัฐผู้รับ นอกเหนือจากหน้าที่ทางการของตน และโดยปกติแล้วตัวแทนทางทูตจะต้องไม่ปฏิบัติกิจกรรมใดทางวิชาชีพหรือพาณิชย์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวในรัฐผู้รับ
3. สิทธิการได้รับยกเว้นภาษี นอกจากนั้นผู้แทนทางการทูตจะได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีไม่ว่าจะเป็นภาษีโดยตรง เช่น ภาษีจากเงินได้ หรือภาษีโดยทางอ้อม เช่น ภาษีน้ำมัน เหล้า บุหรี่ หรือภาษีขาเข้าและภาษีขาออกการเดินทาง
3.2 กงสุล หมายถึง ตัวแทนของรัฐในต่างประเทศแต่ไม่มีฐานะเป็นตัวแทนทางการทูต ไม่มีอำนาจในการเจรจาเว้นแต่ว่าจะได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ โดยทั่วไปมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ทางการค้าของบุคคลในสัญชาติตนในขอบเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ภายใต้ความรับผิดชอบในสัญชาติตนกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอื่นๆ และส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว วัฒนธรรมระหว่างรัฐทั้งสอง รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆ เช่น ออกหนังสือรับรอง ออกวีซ่า จดทะเบียนสมรส เป็นต้น
ประเภทของกงสุล แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. กงสุลประจำตำแหน่งมีฐานะเป็นข้าราชการของรัฐ
2. กงสุลกิตติมศักดิ์ ไม่มีฐานะเป็นข้าราชการของรัฐ ส่วนใหญ่จะแต่งตั้งจากบุคคลจากรัฐที่รับกงสุลนั้นเอง ซึ่งตามปกติจะเป็นนักธุรกิจในท้องที่นั้นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับรัฐผู้ส่ง
สิทธิพิเศษของกงสุล
1. สิทธิพิเศษของกงสุล เนื่องจากกงสุลไม่ได้มีฐานะเป็นผู้แทนทางการทูตจึงไม่ได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันอย่างสมบูรณ์ กฎเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับกงสุลได้รับการกำหนดไว้ในอนุสัญญาเกี่ยวกับกงสุลในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งยอมรับให้กงสุลได้รับสิทธิในการล่วงละเมิดมิได้ นอกจากนี้รัฐที่รับกงสุลจะต้องปฏิบัติต่อกงสุลด้วยความเคารพและมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันไม่ให้มีการประทุษร้ายต่อกงสุล หรือการใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่ออิสรภาพและเกียรติของกงสุล และยังรวมถึงสถานที่ทำการกงสุล โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ประจำอยู่จะเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาตไม่ได้ เอกสารต่างๆ ต้องไม่ถูกตรวจค้นหรือยึด ในลักษณะทำนองเดียวกับสิทธิที่ผู้แทนทางการทูตได้รับ
2. สิทธิได้รับการยกเว้นในทางศาล ซึ่งกงสุลจะไม่อยู่ภายใต้อำนาจศาลของรัฐที่ไปประจำเฉพาะกิจการที่กระทำในหน้าที่ของกงสุลเท่านั้น กงสุลจะต้องรับผิดชอบกรณีความผิดที่ก่อให้เกิดขึ้น โดยไม่ได้เกิดจากการกระทำตามหน้าที่ จะเห็นได้ว่ากงสุลได้รับสิทธิการยกเว้นในทางศาลนั้น กงสุลจะไม่ได้รับอย่างสมบูรณ์ดังเช่นกรณีของผู้แทนทางการทูต
3. สิทธิได้รับการยกเว้นภาษี โดยรวมไปถึงกงสุลกิตติมศักดิ์ด้วย เว้นแต่ว่ากงสุลนั้นเป็นบุคคลในสัญชาติของรัฐผู้รับหรือมีถิ่นที่อยู่ถาวรในรัฐนั้น
ที่มา : นพนิธิ สุริยะ กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , สมบูรณ์ เสงี่ยมบุตร อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายและเอกอัครราชทูตไทย กฎหมายระหว่างประเทศ , กฎหมายระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ 14 มีนาคม 2551 เวลา 13.50
ไม่มีความเห็น