ผู้ร่วมประชุม
:
ได้ฟังอาจารย์พูด ผมมาจากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ต้นแบบซึ่งเป็น pilot project
ซึ่งเราทดลองเอาเด็กที่เก่งที่สุดในประเทศไทย
และจะดูว่าถ้าเรามีโรงเรียนอย่างนี้สักโรง อะไรจะเกิดขึ้น
และผมก็ทราบว่าทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่หาดใหญ่ก็เคยมาดูงานที่โรงเรียนของเรา
เคยคิดกันว่าเมื่อปีที่แล้วท่านนายกก็มาเยี่ยมโรงเรียนเรา
ท่านบอกว่าน่าจะมีโรงเรียนวิทยาศาสตร์เช่นนี้สัก 5-6
โรงในประเทศไทย จะได้รับเด็กเก่งๆ ในภูมิภาคเข้ามาเรียน
ที่จริงแล้วทางโรงเรียนสงขลานครินทร์
ท่านพร้อมที่จะเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ได้เลยภายในปีนี้แต่บังเอิญรัฐบาลไม่พร้อม
ซึ่งผมเสียดายมาก เราพยายาม fight
กันในหมู่ของผู้บริหารเพราะบ้านเมืองเราที่ยังขาดโรงเรียนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์
นักวิจัย เราพยายามกระเสือกกระสนทำกันมา
แม้แต่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เราทำมาได้ 4 ปี
ผลสำเร็จที่ประจักษ์กับสาธารณชนเรามีเด็กที่จบไปแล้ว 3 รุ่น
รุ่นแรกเรามีนักเรียน 203 คน
เพราะว่าเราอาจขาดศรัทธาจากผู้ปกครองก็เป็นได้
รุ่นแรกมีเด็กที่ได้คะแนนต่ำกว่า 3 สามคนเท่านั้นเอง
นี่คือเราเอาเด็กที่เก่งที่สุดมาทดลอง
เขาก็สามารถจะเรียนได้
รุ่นแรกมีนักเรียนไปเรียนต่างไปต่างประเทศได้ทุนของรัฐบาล 13 คน
รุ่นที่สองผ่านมาปีที่แล้วมีนักเรียนได้ทุนไปต่างประเทศ ได้ 24
คน ขณะนี้เราทดลองทำเพื่อเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ระดับ world
class
ให้เห็นว่าประเทศไทยก็มีโรงเรียนที่เทียบเท่ากับมาตรฐานโลก
เราซึ่งจัดงาน international sciences fair
เสร็จวันอังคารที่ผ่านมานี้เอง เชิญต่างชาติมา 19
ประเทศเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศให้กับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง
รวมทั้งนานาชาติ ยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา
สิ่งที่เรากำลังทำถือว่าเป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องสร้างเกียรติภูมิของประเทศไทย
ในเวทีโลก
เราจะมีโรงเรียนมัธยมเฉพาะในประเทศไทยไม่ได้แล้ว
ขณะนี้เราต้องก้าวไปกับระดับโลก
เราต้องมีโรงเรียนที่สามารถเทียบกับมาตรฐานได้
เราต้องสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ในเวทีโลก
มิฉะนั้นประเทศชาติเราจะลำบากได้ สิ่งที่มหิดลวิทยานุสรณ์
เป็นโครงการทดลองทำเท่านั้น
แล้วเรามีลักษณะเป็นองค์การมหาชนคือทำแล้วเลิกได้
ถ้าประเทศไทยเราเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเราก็เลิกได้
ที่นี่ไม่ต้องเพราะจ้างครูเป็นเทอม
มีการประเมินผลงานทุกเทอมตามผลงานที่เขาทำ
นี่เป็นลักษณะโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ซึ่งขณะนี้มีนักเรียนจบแล้วสองรุ่น
รุ่นที่สามเรากำลังรับเด็ก เพิ่งสอบวันเสาร์ที่ 19 มีเด็กสอบ
18,000 คนและจัดคัดไว้แค่ 280 คน
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนแค่นี้นะครับ
อ.จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา :
อยากเรียนอาจารย์
ดร.ปฐมพงศ์ ท่านคงมี click อะไรอยู่ในใจ สองโรงเรียนที่ได้มา
share ให้เราฟัง ว่าถ้าการจัดการความรู้ที่เราจะ top up
อาจารย์คิดอย่างไรบ้าง
ดร.
ปฐมพงษ์ ศุภฤกษ์
:
ขอขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาพูดคุยในวันนี้
ผมจะพูดในมุมมองของผู้ประสานงาน และก็มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
นักจัดการความรู้ในโรงเรียนด้วย บวกของกรรมการคุรุสภาด้วย
ที่ดูแลครูบาอาจารย์ 7 – 8 แสนคนทั่วประเทศในเรื่องของมาตรฐาน
จรรยาบรรณวิชาชีพ การพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ
โดยที่เราจะให้ตัวครูเป็นผู้ขับเคลื่อนปฏิรูปการเรียนรู้
ในมุมมองของการสร้างเครือข่าย มองจากกระทรวงศึกษาธิการ
ลงไปสู่โรงเรียน นับว่าเป็นโอกาสดีที่ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยท่านรัฐมนตรีก็มีบัญชาให้กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทำ road
map ในเรื่องของการที่จะพัฒนาการศึกษา
เมื่อวานนี้ก็ได้มีการแถลงข่าวร่วมกับทางสภาการศึกษา
ในการที่จะให้การอุดหนุนส่งเสริมโรงเรียนเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น
และมีกระบวนการในการที่จะมีการอุดหนุนแนวใหม่
การอุดหนุนแนวใหม่จะส่งผลไปสู่การที่เราจะมีเครือข่าย เราเรียกว่าเป็น
SMS special modeling school คือโรงเรียนเฉพาะทาง ยกตัวอย่างเช่น ผอ.
มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์ ก็อาจจะเป็นโรงเรียนตัวอย่าง
และก็จะให้ดีก็จะมีเงิน support
จากรัฐบาลเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับนักเรียน
หรืออาจจะเป็นโรงเรียนที่เป็นแม่แบบให้กับโรงเรียนทั่วๆ ไป
ที่สนใจจะไปเรียนรู้ ถ้าครูไม่ปูพรมจากโรงเรียนท่าน
รัฐบาลเองก็จะจัดเงิน support ไปให้ครูบาอาจารย์อบรมที่นั่นเป็น site
based learning เรียนรู้จากสถานประกอบการหรือหน่วยงาน
เรามีโรงเรียนที่เป็นลักษณะเฉพาะหลายโรงเรียน ยกตัวอย่างเช่น
โรงเรียนที่มีความชำนาญด้าน ICT
โรงเรียนที่เป็นโรงเรียนจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
โรงเรียนที่มีความเป็นเลิศในเรื่องของวิถีพุทธวิถีไทย
โรงเรียนที่มีความเป็นเลิศด้านศิลปะ ดนตรี หรือกีฬา
ก็จะมีความหลากหลาย ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่คิดว่าจะเป็นเครือข่าย
และเป็นเครือข่ายที่มีความสามารถ มีความชำนาญเฉพาะทาง
เรามองจุดของการพัฒนาประเทศ การที่จะขยับไปสู่การแข่งขันได้
เราคิดว่าเด็กไทยก็จะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกล้าสามารถ
จากมหิดลวิทยานุสรณ์
ต้องมีนักดนตรีที่มีความสามารถในการที่จะไปเล่นในวง orchestra
ในระดับโลกได้ ซึ่งขณะนี้เรามีเด็กไทยอยู่ ต้องมีนักคอมพิวเตอร์ นัก
ICT ซึ่งขณะนี้เราก็มีโรงเรียนอยู่ในหลายๆ แห่ง ทั้งในกรุงเทพ
และต่างจังหวัดที่มีเด็กประเภทนี้อยู่ ทีนี้เป็นกรณีตัวอย่าง
ในส่วนของการสร้างเครือข่าย
อยากจะขอเชิญชวนท่านได้ลองเอาประสบการณ์ที่ท่านมีเขียนผ่าน
website เพื่อที่จะได้รู้ว่าขณะนี้ท่านทำอะไรไปถึงไหน
มีความก้าวหน้าอย่างไร แล้วเราก็จะมีชุมชนของเรานี่แหละ เข้าไปอ่าน
เข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล้วก็เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ลองไปพัฒนา
ฉะนั้นเราอาจจะมีเวทีที่จะกลับมาเล่าสู่กันฟังอีก เรายังพูดกันเล่น ๆ
ว่า ปีหน้า จะจัดที่ อิมแพ็คเมืองทองธานี เราเห็นตัวอย่างดีๆ ที่เป็น
best practice จากเครือข่ายของเราที่จะมาแลกเปลี่ยนกัน
อันนี้ก็จะเป็นการต่อยอดความรู้ที่ยั่งยืน
อ.จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา :
ทางคุรุสภามีงบอุดหนุน
วิธีการกระบวนการพอที่จะเล่าให้ฟังสักนิดได้ไหม หากโรงเรียนใดสนใจ
ก็จะได้มีโครงการอย่างไร มีข้อตกลงอย่างไร
ดร.
ปฐมพงษ์ ศุภฤกษ์
:
โดยหลักการ
ขณะนี้คุรุสภากำลังดำเนินการร่างแนวทางในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู
คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นไปตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ
มาตราที่ 52 แล้วครูในที่นี้จะรวมครูภาครัฐ ภาคเอกชน ครูทุกภาคส่วน
ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา รวมไปถึงคณาจารย์ overlap
ที่สอนในระดับมหาวิทยาลัยส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้อง
เราจะมีกระบวนการในการคัดสรร หน่วยงานสถานศึกษาที่เป็นเครือข่าย
หรือที่เป็นหน่วยฝึกอบรม
เพราะครูส่วนหนึ่งที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
คุรุสภาก็จะให้ไปอบรมในสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองหรือขึ้นทะเบียนกับคุรุสภา
สมมติว่าโรงเรียนของท่านอาจารย์ทั้งหลายหรือหน่วยงานของท่าน
มีครูไปอบรมไปพัฒนา
เราก็จะจัดเงินค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับครูท่านนั้น
ครูไปลงทะเบียนอบรม 5 คน สมมติคนละ 100 บาท ท่านก็เอาเงินไป 500
บาทไปบริหารจัดการในส่วนการอบรมของท่าน เป็นต้น ฉะนั้น
กระบวนการในการฝึกอบรม คุรุสภาจะไม่ดำเนินการเอง
แต่จะมอบหมายให้หน่วยงานในสถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการภายใต้กรอบ กติกา
หรือเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
อันนี้ก็จะเป็นแนวทางที่จะดำเนินการในปีการศึกษาหน้าเป็นต้นไป
อ.จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา :
เราก็ได้ฟังโรงเรียนที่มีความพิเศษที่หลากหลายมีน้องๆ
จากโรงเรียนที่ไม่ต้องเป็น CKO อยากเห็น CKO
ทำอะไรให้กับโรงเรียนเราบ้าง
เพื่อเป็นแนวทางให้กับจัดอบรมให้กับผู้บริหารที่เข้าสู่ CKO
อาชีพ ขอเรียนบางส่วนที่มาจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หรืออาชีวศึกษา ก็ได้
ถ้ายังไม่มีอยากโยนคำถามไปที่ท่านอาจารย์ชาญเลิศ
อยากให้อาจารย์เติมบทบาทของอาจารย์จากเมื่อเช้านี้ว่าจากบทบาทของอาจารย์ที่มองในเรื่องการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม
คือกล่อมเกลาน้ำเสีย สร้างภูมิคุ้มกันให้กับน้ำดี
อาจารย์มีเทคนิคหรือเป็นตัวเอื้อที่ทำให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไร
เพราะเป็นสถานศึกษาที่มีลักษณะของผู้เรียนที่มีความหลากหลาย
อาจารย์ชาญเลิศ
อำไพวรรณ:
กลยุทธ์ในการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน คือเราให้บุคลากรในโรงเรียนเรา
สามารถดำเนินการ ไม่ว่าจะจัดกิจกรรมเรื่องการบูรณาการในด้านต่างๆ
ประสบผลสำเร็จนั้น เราก็มีขั้นตอน
เริ่มแรกก็คงจะต้องเป็นเรื่องของการวางแผน
คือถ้าถามว่าครูที่โรงเรียนวัดศรัทธาธรรม ไปถามบางท่าน
บางท่านไม่ทราบหรอกว่า โรงเรียนนั้นใช้ KM ในโรงเรียน ผมไม่เคยบอก
จะมีครูอยู่ 3 ท่าน แต่ผมเคยนำซีดีของท่านดอกเตอร์ประพนธ์ ไปเปิดให้ดู
แต่วิธีการทำเราไม่บอก เราก็มีการจัดการความรู้
โดยที่เมื่อเช้าก็บอกมีการกำหนดเป้าหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจต่างๆ
ของโรงเรียน ศึกษาความรู้จากตัวบุคลากรในโรงเรียน และเราก็มาแบ่งกลุ่ม
ที่ผมบอกเมื่อเช้าแล้วว่า แบ่งกลุ่ม ๆ ละ 3 คน แต่ไม่ได้ยึดกันทั้งหมด
3 คนนั้น สมมติว่าวันอังคารเราเรียนเรื่อง ลุ่มน้ำแม่กลอง
สายน้ำแห่งชีวิต ก็จะมีกลุ่ม 3 คน นาย ก. นาย ข. นาย ค.
พอมาวันพฤหัสบดี เป็นเรื่องของวิถีศรัทธาธรรม เศรษฐกิจพอเพียง
ก็จะอาจจะเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. ที่จะสับตัวบุคลากรกัน
เพราะฉะนั้นความเชื่อมโยงในบุคลากรทั้ง 18 คน เขาจะทำงานร่วมกัน
แล้วเวลาผมแบ่งงานในโรงเรียน จะบริหารแนวราบ
เมื่อบริหารแนวราบทุกคนจะอยู่อย่างมีความสุข
ผมไม่อยู่โรงเรียนเดือนหนึ่ง โรงเรียนผมก็อยู่แบบปกติ เพราะอะไร
เพราะว่าผมแบ่งงานว่า
สมมติว่าการบริการงานกับการบริหารงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ยังมี 4
ด้าน ด้านแรกคือด้านวิชาการ ด้านงบประมาณและการเงิน ด้านบริหารบุคลากร
และด้านบริหารทั่วไป ผมก็จะมีคณะทำงานเป็นชุด ๆ
ซึ่งในวันนี้ผมมาอยู่ที่นี่
ถ้าเกิดสมมติว่าทางโรงเรียนมีเรื่องเกี่ยวกับงานวิชาการเข้ามา
จะเริ่มส่งครูไปอบรม ก็จะมีคนเป็นผู้ดำเนินการแทนผม
เพื่อวางว่าคนนี้ทำหน้าที่นี้ ทำหน้าที่นี้ไป ก็จะจัดการให้เสร็จ
หรือมีเรื่องการบริหารทั่วไป และก็จะมีคนดำเนินการให้เสร็จ
ก็เราจะแบ่งวิธีการอย่างนี้ แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมใช้อยู่ประจำก็คือ
คนเรานั้นจะต้องมีขวัญและกำลังใจ ขวัญและกำลังใจ ผมมีของขวัญ
ผมจะต้องถือไปตลอดเลย สำหรับทั้งครูและนักเรียน
อย่างนักเรียนเดินผ่านผม แสดงความเคารพผม ผมก็มีของขวัญให้แค่นี้เอง
ผมยกหัวนิ้วโป้งให้เขา เขาภูมิใจแล้ว ครูก็เหมือนกัน เวลาผมเดินไป
ไปนิเทศ ผมก็ต้องบอกว่า คุณทำดี ทำดีมากเลย ทำถูกต้องแล้ว ทำดีเรื่อย
ๆ ไป ผมไม่ต้องพูด ในขณะที่ผมเดินผ่านเขากำลังทำกิจกรรมอยู่
ผมก้มหัวให้เขานิดหนึ่ง แล้วผมก็ยกหัวนิ้วโป้ง
แค่นี้เป็นความภูมิใจของคนแล้ว คือทุกท่าน
ถ้าเจอคนเขาก้มหัวให้ท่านนิดหนึ่ง แล้วยกหัวนิ้วโป้งให้เรา ภูมิใจไหม
เพราะฉะนั้น เขาก็เหมือนกับเรานั่นแหละ ครูคือบุคลากรในโรงเรียน
นักเรียนก็เหมือนกัน ถ้าเราแสดงอากัปกิริยาอย่างนี้ เขามีความสุขแล้ว
เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยู่อย่างวัฒนธรรมที่มีความสุข ไม่ใช่แยกส่วน
ไม่ใช่เวลาผู้บริหารไม่อยู่โรงเรียนก็เริงร่า เหมือนปกติทุกอย่าง
นี่คือแนวทางของที่โรงเรียน
อ.จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา :
น่ารักมาก วจนวาจา
รู้วันนี้นี่เองว่ามีพลังมหาศาล ในการที่ทำให้คนอื่นเกิดความสุข
ความผูกพัน และก็ความรักในการทำงาน วจนวาจาแค่ยกนิ้วหัวแม่โป้ง
ก้มหัวให้ สุดยอดเลยอาจารย์คะ เดี๋ยวอาจจะขอเล่าเป็นแบบบ้างนะคะ
ไปใช้กับลูกศิษย์ของมหาวิทยาลัยรังสิตบ้างนะคะ พอดีมีคำถามหนึ่ง
มาจากที่ตอนทานข้าวแต่ยังไม่ได้ตอบ อาจารย์ก็ยังไม่ได้ตอบ บอกว่าอยาก
share อยากแบ่งปันบนเวทีใหญ่ อยากจะถามอาจารย์สุเมธว่า
บทบาทของ CKO
กับการเป็นผู้นำทางวิชาการมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เรียนเชิญอาจารย์สุเมธค่ะ
อ. สุเมธ
ปานะถึก:
ในคำถามนี้ที่จริงแล้ว ผมว่านัยของผู้ที่ถาม
จะเน้นในคำถามมากกว่าคำตอบ เพราะว่าอยากจะให้เน้นว่า
ผู้บริหารที่จริงแล้วควรจะต้องเป็นผู้นำทางวิชาการ
ความจริงแล้วคำตอบมันก็มีอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า
ในโรงเรียนนั้นเป็นสถานที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาทั้งตัวคุณครู ตัวนักเรียน ผู้ปกครอง
แล้วก็ตัวผู้บริหารเอง
เพราะฉะนั้นความเป็นผู้นำทางวิชาการจึงมีความสำคัญหรือว่าจำเป็นเป็นอย่างยิ่งในสถาบันที่เป็นหน่วยของการเรียนรู้
ก็คือ โรงเรียน โดยปกติทั่วไปแล้ว โรงเรียนก็จะแบ่งเป็นฝ่าย
เป็นแผนกต่าง ๆ เหมือนกันทั้งประเทศ ส่วนใหญ่ชั้นมัธยมก็จะแบ่งเป็น 5
ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทางวิชาการ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายกิจการนักเรียน
ฝ่ายบริหารทั่วไป
ที่จริงความเป็นนักวิชาการของพวกเรานั้นจำเป็นจะต้องมีอยู่ในทุกฝ่าย
ฝ่ายแผนงาน ผู้ทำก็จะต้องรู้เรื่องแผนงาน เรื่องประมวลผล
ฝ่ายกิจการนักเรียน
ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทางวิชาการในเรื่องของระบบรายชื่อนักเรียน
ในเรื่องของการดูแลนักเรียนให้มีความสุข ทำอย่างไรบ้าง
ฝ่ายอาคารสถานที่ การจัดบรรยากาศในโรงเรียน
ผู้อ่านก็ต้องมีความรู้เหมือนกัน
ทำอย่างไรให้โรงเรียนมองเข้าไปแล้วบรรยากาศมีความร่มรื่น น่าอยู่
มีความสะอาดสะอ้าน อยากอยู่ ไม่ใช่มองเข้าไปแล้วเต็มไปด้วยมลภาวะต่าง
ๆ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ความเป็นนักวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนนั้น
มีอยู่ในทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายไหนก็ตาม
ทีนี้ถ้าจะดูแล้วว่าเป้าหมายของโรงเรียนนั้นอยู่ที่นักเรียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน พรบ. นั้น ก็เขียนไว้ชัดเจนว่า
โรงเรียนนั้นจะต้องให้นักเรียนนั้นเป็นนักเรียนที่มีลักษณะที่สำคัญ
3 ประการ คือ เป็นคนดี เป็นคนเก่ง มีความสุขในการเรียน
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าในลักษณะทั้ง 3 ประการนั้น คนเก่ง
คนดี มีความสุขแล้ว ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันไปหมด
ทำอย่างไรนักเรียนที่มาโรงเรียนแต่ละวัน เขาจะเก่งขึ้น
เก่งกว่าเมื่อวานนี้ แล้วก็เก่งให้มาก ๆ ในขณะเดียวกัน
ตัวตนของเขานั้น
ทำอย่างไรจึงจะมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามเป้าหายที่โรงเรียนกำหนดไว้
และในเรื่องของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น
ทำอย่างไรที่เขาจะพัฒนาตัวเองให้มีความรอบรู้ ทั้งในเรื่องของทักษะ
โอกาสคิด วิเคราะห์ อ่าน เขียน ต่างๆ นั้น ได้ดีมากขึ้น เพราะฉะนั้น
ความเป็น CKO ก็ตาม หรือความเป็นนักวิชาการก็ตามนั้น
มันจะสอดแทรกอยู่ ไม่สามารถที่จะแจกได้ว่า คุณเป็นผู้บริหารโรงเรียน ณ
บทบาทนี้ คุณเป็นนักวิชาการบทบาทนี้
คุณเป็นผู้ดูแลอาคารสถานที่บทบาทนี้ คุณเป็นฝ่ายปกครอง
มันผสมกันไปหมด เพราะฉะนั้นมันก็คือภารกิจ
ซึ่งถือว่าที่จริงแล้วมันก็เยอะพอสมควร เข้าไปโรงเรียนแต่ละวัน
งานเยอะมากเลย ถ้าจะทำให้ดีที่สุดแล้ว มันต้องใช้เวลามากกว่า 24
ชั่วโมง ในหนึ่งวัน แต่ก็ต้องบริหารเวลาให้ได้
ขอบคุณมากครับ
อ.จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา :
จะมีท่านใดบ้างที่อยากจะแลกเปลี่ยน
ในมุมมองที่เราจะได้แบบที่ไม่เหมือนวิธีคิดแบบเดิม
เพื่อให้เวลาของเราได้เป็นอย่างที่เรากำหนดไว้ เพราะเวลา 14.30
น. เราจะเจอที่ห้องใหญ่เพื่อไปฟัง Wikipedia เหลือเวลาอีก 15 นาที
จะเป็นการสรุป knowledge assets ที่ได้จากเมื่อเช้า
มีต่อ
ไม่มีความเห็น