ลูก คำนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของผู้เป็นแม่ นอกเหนือจากการที่เราต้องทำหน้าที่ในหลายๆเรื่องของความเป็นพลเมืองในโลกนี้แล้ว การดูแลสั่งสอนลูกให้เจริญเติบโตแข็งแรง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น ถือเป็นหน้าที่อีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุด
: คุณมีอาชีพเป็นครู ทำไม ต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า ลูก?
ข้าพเจ้าเป็นครูสอนเด็กพิการทางการได้ยิน เมื่อปีการศึกษา 2547 โรงเรียนของเราเป็น 1 ใน 5 ในประเทศไทย ที่เข้าร่วมโครงการทดลอง การสอนแบบสองภาษาสำหรับเด็กหูหนวก กับวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการนี้ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2547 - ปีการศึกษา 2551 ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานโครงการฯ ในส่วนของครูผู้สอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 การได้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานโครงการฯ เป็นโอกาสที่ดีของตนเองโดยไม่ตั้งใจ เพราะไม่ว่าครูผู้สอน หรือคณะทำงานในโครงการฯ จะต้องได้รับการพัฒนาตนเองเพื่อสร้างเสริมความรู้ และสร้างเสริมประสบการณ์ทั้งมวล เพื่อนำมาใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กหูหนวก ครั้งแรกจำได้ว่ารับการอบรมที่โรงแรมเอส.ดี.อเวนิว กรุงเทพมหานคร ความรู้และมวลประสบการณ์ในครั้งนั้นเป็นเรื่องของเด็กที่อายุตั้งแต่ 0 - 7 ขวบ (ในขณะนั้นลูกมีอายุได้ 2 ขวบ) ลูกเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ข้าพเจ้าใคร่รู้กับเรื่องต่างๆตามแนวของมนุษยปรัชญา (Antroposophy) ซึ่งเป็นรากฐานการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ
: แล้วครั้งนี้คุณเข้าใจทฤษฎีตามแนวของมนุษยปรัชญา แค่ไหน?
ตอบได้โดยเลยว่า ไม่เข้าใจ รู้แต่เพียงว่า….
- พัฒนาการของเด็กนั้นมีตั้งแต่ 0- 7 ขวบ 7-14 ปี และ 14 ปีขึ้นไป
- การพัฒนาเด็ก 0 – 7 ปีนั้น ให้เป็นไปตามธรรมชาติ
- ใช้สื่อในการสอนเด็กจากวัสดุธรรมชาติ เช่น วิทยากรให้ทดลองจับสื่อที่ทำจากพลาสติก (รู้สึกอย่างไร) จับก้อนหิน (รู้สึกอย่างไร)
ใช้ตาดูรูปร่าง (เห็นอะไร)
ดูสีของผิวส้มโอ (เป็นอย่างไร)
ใช้มีดปอกเปลือก (เห็นอะไรบ้าง)
จับส้มโอ(ของจริง) (รู้สึกอย่างไร) ผ่าส้มโอออกเป็นสองซีก …..
ถ้ามีเด็ก…..คน จะผ่าส้มโอ…….ชิ้น….
นำเปลือกมาใช้เป็นของเล่น…..
นำเปลือกมาเล่านิทาน….
ฯลฯ
ข้าพเจ้าร้อง ไชโย!(ในใจ) นี่ไง…สิ่งที่ฉันจะนำไปพัฒนาให้กับลูกของฉัน ถ้ามีการอบรมแนวนี้ฉันขอเข้าร่วมอบรมด้วย………….
จากครั้งแรกเมื่อปีการศึกษา 2547 จนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าได้รับการอบรมเพื่อรับความรู้ในเรื่องของการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟเป็นจำนวน 6 ครั้งแล้ว โดยครั้งล่าสุดนั้นเป็นการอบรมการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟภายใต้ ชื่อว่า ATT (Asian Teacher Training)
จากมวลประสบการณ์ + ความรู้ ในการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟที่ข้าพเจ้าได้ตระหนักรู้นั้น สรุปได้ว่า ไม่ว่าจะทำหน้าที่แม่ หรือ ทำหน้าที่ครู ไม่ว่าจะสอนลูกหรือสอนลูกศิษย์ สิ่งที่พึงต้องกระทำ คือ
1. สอนด้วยความรัก
2 . สอนให้เขาเป็นคนดี
จากการสอนด้วยความรักและสอนให้เขาเป็นดีนั้นจะต้อง
ประการแรก ต้องพัฒนาจิตสำนึกและคุณค่าแห่งการเกิดมาเป็นมนุษย์ของตน-เอง
ประการที่สอง ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี(คือการแนะนำเรื่องที่สวยสดงดงามและความดีต่างๆในโลก) โดยผ่านการเล่น การเล่านิทาน ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กอนุบาล
ประการที่สาม การเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นผู้นำที่ดี คือการให้ความรัก ให้ความเคารพ และมีอำนาจ (โดยไม่ใช่การบังคับ) เหมาะสำหรับเด็กวัยประถมศึกษา (ความเป็นผู้นำ + ความเชื่อมั่น)
ประการที่สี่ ต้องรู้จักเด็กและจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับเด็ก
ประการที่ห้า หลักการสัมผัสที่ควรรู้ มี 12 อย่าง คือ การรับรู้ถึงการสัมผัส พลังแห่งชีวิต การเคลื่อนไหว ความสมดุล การรับกลิ่น การรับรส การเห็น ความอบอุ่น การได้ยิน การใช้ภาษา ความคิดรวบยอด การรับรู้ตัวตนของผู้อื่น
และประการสุดท้ายที่จำได้ดีที่สุดสำหรับการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟคือ การสังเกตฟันของเด็ก ถ้าฟันของเด็ก(ฟันน้ำนม)หลุดร่วงนั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเด็กพร้อมที่จะเรียนในชั้นประถมศึกษาแล้ว
จากที่กล่าวมาข้างต้นข้าพเจ้าได้เติมพลังอันทรงคุณค่ายิ่งที่ต้องพัฒนาตนเองเพื่อเรียนรู้ที่จะสอนลูกและลูกศิษย์ให้พวกได้ถึงพร้อมทางจิตใจ และจิตวิญญาณ(ตามแนวการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ) ท่ามกลางการจัดการศึกษาของไทยเราในยุคปัจจุบันนี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ข้าพเจ้าได้จิตสำนึกที่ว่าเราต้องไม่ฝืนในกฎธรรมชาติ ไม่เร่งการเรียนของเด็กก่อนวัยอันสมควร เราต้องไม่สร้างกรอบให้เด็ก เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ต้องรู้จักลักษณะเด็กตามธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะมีลักษณะเดียวตลอดจึงมีการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาตัวเขาให้สมบูรณ์ได้ นี้แหละคือแรงบันดาลใจของข้าพเจ้า
ผมบังเอิญพบบันทึกนี้ รู้สึกประทับใจมากในแรงบันดาลใจของ อ. มนตรี ขอเชียร์ให้เขียนเล่าเรื่องราวของเด็ก การเรียนรู้ของเด็กหูหนวก และตีความตามแนววอลดอร์ฟ จะน่าสนใจมากครับ
โดยในบันทึกให้ใส่คำหลัก "วอลดอร์ฟ" และ "โสตศึกษา" ผมจะเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยครับ
วิจารณ์ พานิช
พี่เอียด น้องป๋องนะ
ดีใจจังเปิดมาเจอสิ่งที่พี่เขียน เป็นทั้งความรู้และข้อคิดที่ดีมากๆคะ
มีอะไรดีๆ ก็นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอีนะคะ
...กระป๋อง...
พี่ขอบใจที่น้องได้เข้ามาอ่านของพี่ ตัวน้องเองพี่ก็รู้ว่ามีความตั้งใจ คล่องแคล่วอยู่แล้ว หวังว่าโครงการฯที่น้องกำลังดำเนินการอยู่นั้นประสบความสำเร็จด้วยดีนะจ๊ะ