เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาดิฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสพร้อมกันนั้นได้ส่งเรื่องราวของเด็กชายชาวสังขละบุรีที่มีชื่อว่าเด็กชายซ้ายหก
ที่มีชื่ออย่างนี้เพราะเนื่องมาจากเขามีนิ้วมือข้างซ้ายหกนิ้ว
และเป็นคนพิเศษไม่ได้มาจากความพิเศษของร่างกายแต่เพราะความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่และความรักที่มีต่อพี่น้อง
เรื่องราวของซ้ายหกมีอยู่ว่าพ่อของซ้ายหกละทิ้งครอบครัวไป
แม้พี่สาวและน้องชายคนเล็กจะมีศูนย์สงเคราะห์เด็กใกล้ๆ บ้าน รับไปดูแล
แต่แม่ก็ต้องดิ้นรนทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกที่ไม่สมประกอบทั้ง 2
คนแม่จากบ้านไปเป็นกรรมกรก่อสร้างตามจังหวัดต่างๆ
และพาเด็กทั้งสองไปด้วยเป็นเวลาปีกว่าแล้วและยังไม่เคนกลับมาเยี่ยมซ้ายหกเลย
เคยส่งเงินมาให้ครั้งหนึ่งจำนวน 100 บาท
ซ้ายหกจึงนำเงินไปซื้อไก่มาเลี้ยงเพื่อรอให้ไก่ออกไข่เพื่อนำมากินหรือนำไปขาย
ทุกวันนี้ซ้ายหกอยู่ในกระต๊อบที่ทรุดโทรม
หลังคามุมด้วยหญ้าแฝกปะด้วยแผ่นพลาสติกเก่าๆ
ซึ่งไม่สามารถกันแดดกันฝนได้อีกแล้ว
ตกลางคืนซ้ายหกกลัวและเหงาถ้าต้องนอนคนเดียว จึงไปอาศัยอยู่กับตา
แต่ไม่ลืมปัดกวาดเช็ดถูดูแลทุกวันเพื่อรอให้พ่อ แม่
พี่และน้องกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้ง
ทุกวันนี้ซ้ายหกมีข้าวกินเฉพาะเวลาเช้าและเย็นที่อาและอาสะใภ้แบ่งให้
และตอบแทนครอบครัวอาด้วยการช่วยทำงานบ้านทุกอย่างให้
เมื่อไปโรงเรียนซ้ายหกไม่มีอาหารกลางวันและค่าขนม
นอกจากข้าวห่อกับผักจิ้มน้ำพริกที่น้าห่อให้ในบางครั้ง
ซ้ายหกจะเก็บขวดไปขายและช่วยครูที่โรงเรียนเลี้ยงแพะ
เพื่อนำเงินที่ได้เก็บไว้ให้แม่ เผื่อจะช่วยรักษาน้องได้
“ผมไม่อยากได้อะไร
แค่ช่วยน้องผมก็พอแล้ว น้องผมพิการ”
แหละนี้คือตัวอย่างของเด็กคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับความยากจน
ไม่เพียงนำความแร้นแค้นมาสู่ชีวิตความเป็นอยู่
แต่ทำให้ครอบครัวยากไร้ถูกบีบบังคับให้ต้องรับสภาพการแยกจากกัน
การดิ้นรนและความเหนื่อยยากที่ไม่มีวันจบสิ้น
ในสังคมไทยยังมีเด็กที่ด้อยโอกาสเช่นนี้อยู่อีกมาก
และต้องการโอกาสจากคนใจบุญหยิบยื่นให้
แต่เรื่องราวนี้ทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจหลายๆ ด้าน ตั้งแต่
ความเป็นอยู่ของเด็กยากจน ขาดการพัฒนาฝึกฝนทักษะอาชีพ
ความรับผิดชอบของครอบครัวที่มีต่อเด็ก ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ
ตามมาอาทิเช่น การไม่มีปัญญาเลี้ยงดู ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว
ก่อให้เกิดปัญหาหย่าร้าง
และที่สำคัญเด็กจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเรื่องดังกล่าว
เหตุการณ์เหล่านี้เราสามารถพบเห็นได้ในสังคมปัจจุบัน
และเป็นปัญหาที่สังคมจะต้องให้ความเอาใจใส่อย่างมาก
เพราะเด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติในวันข้างหน้า
ภาพจาก www. pantip.com
น่าสงสารเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร.....เเต่น้องเขาก้อเป็นเด็กดีมากๆๆสู้ต่อไปนะน้องความหวังยังมี
เนื้อเรื่องน่าสนใจดี แต่เป็นเรื่องปกติของสังคมไทยที่แม้จะไม่มีการแบ่งแยกทางสังคม แต่ฐานะก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกคนในสังคมได้อย่างชัดเจน จ๊ะจ๋านำเสนอมุมมองของเด็กที่ถูกสังคมทอดทิ้ง และต้องการโอกาสแต่เรากลับมองว่าแม้จะถูกทอดทิ้งแต่น้องเขาก็ไม่เคยย่อท้อกับชีวิตกลับต่อสู้ด้วยตัวเอง เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนที่บางคนมีทุกอย่างสมบูรณ์แบบแต่กลับทิ้งโอกาสที่ดีนั้นไป
ขอบคุณจ๊ะจ๋าที่นำเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟังนะจ๊ะ
ปัญหาสังคม จริงๆ แล้วก็เกิดมาจากปัญหาเล็กๆ ของแต่ละครอบครัว และในสังคมไทยก็ยังมีเด็กที่ยากจนและขาดโอกาส อยู่จำนวนมาก..ซึ่งสังคมไทยก็ไม่ได้ทอดทิ้ง และยังให้การช่วยเหลือตลอดมา หากแต่ผู้นำครอบครัวควรที่จะมีความรับผิดชอบและคิดหาทางแก้ปัญหาครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระของสังคมจนเกินไป ซึ่งดิฉันเชื่อว่า หากสถาบันครอบครัวมีความรักเอาใจใส่กันในครอบครัว และช่วยเหลือกัน เชื่อว่าทุกๆ ครอบครัวจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข และยิ่งเป็นสิ่งที่ดีถ้าแต่ละครอบครัวร่วมใจกันช่วยเหลือ สอดส่อง ดูแลซึ่งกันและกัน ..ปัญหาสังคมก็จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นได้น้อยอย่างแน่นอน
ชีวิตนี้สั้นนัก ดีใจที่น้องไม่มานั่งทุกข์ ยินดีด้วย
This topic is touching me ... JA+
I totally agree with Ms Supaporn about the origin of social problem come from the ignorance of people in family. I have no statistics of the number of abandoned children like Sai-Hok and his brother. If it's growing up over time that would mean there is some kind of factors coming into effect. Maybe there are a growing number of single families than blended families. Parents move into a city for work, thus they leave their families (this case is quite impossible to happen, isn't it?), or they don't love children(.. oh no !).
I think the government and local agency need to strengthen the communities by increasing Jobs for those people live there, building a library for parents to get knowledge, endorse the buddish's teching to community, providing enough entertaining services, and so forth.