ประเภทเครื่องสี
หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งที่มีสาย
ทำให้เกิดเสียงได้โดยการใช้สี เครื่องดนตรีประเภทนี้
ในวงการดนตรีไทยได้แก่
1. ซอด้วง
2. ซออู้
3. ซอสามสาย
4. สะล้อ
ซอด้วง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่มี 2 สาย
ซึ่งเดิมเป็นเครื่องดนตรี
ของจีน
ร่วมบรรเลงในวงเครื่องสายเมื่อราวต้นสมัยรัตนโกสินทร์
หรือถ้าก่อนนั้นก็คงราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
พร้อมกันกับซออู้
มีหน้าที่เป็นผู้ทำทำนองเพลง สีเก็บถี่ๆบ้าง
โหยหวนเป็นเสียงยาวบ้าง เป็นหลักในการดำเนินเนื้อเพลง
และเป็นผู้นำวง ด้วยเหตุที่เรียก "ซอด้วง"
ก็เพราะว่ากะโหลกซอนั้น
มีลักษณะคล้ายกับเครื่องดักสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า
"ด้วงดักแย้" ส่วนประกอบของซอด้วงมีดังนี้
กะโหลกทำด้วยไม้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกลำตัวมีกระพุ้งเล็กน้อย
ตอนปลายผาย ภายในเจาะแต่เป็นโพรง
ใกล้หน้าขึ้นหนังจะเจาะรู 2 รูเพื่อสอดใส่ไม้คันทวน
หน้าซอ ขึ้นด้วยหนังงูเหลือมหนังลูกแพะ หรือหนังลูกวัว
คันทวน
ทำด้วยไม้มีส่วนประกอบดังนี้
เดือย เป็นส่วนล่างสุดกลึงให้เล็ก
เพื่อสอดใส่เข้าไปในรูกะโหลกตอนบนทะลุออกตอนล่าง เล็กน้อย
เท้าช้าง กลึงลักษณะกลมเพื่อยึดติดกะโหลกซอตอนบน
ลูกแก้ว กลึงเป็นวงกลมรอบไม้ต่อจากเท้าช้าง
เส้นลวด
กลึงเป็นวงเส้นนูนเล็กๆห่างจากลูกแก้วขึ้นมาเล็กน้อย
บัวกลึงบากให้เป็นเหลี่ยมเพื่อให้รับกับโขนซอ
โขนซอที่ปลายคันทวน
จะกลึงเป็นทรงสี่เหลี่ยมโค้งไปทางหลังเล็กน้อย เรียกว่า"โขนซอ"
และที่โขนซอเจาะรู๒รูเพื่อสอดใส่ลูกบิด
ลูกบิด ทำด้วยไม้กลึงหัวใหญ่มีลักษณะ เป็นลูกแก้ว
ก้านบัวประดับเม็ด ปลายกลมเรียวแหลม
เพื่อสอดใส่ในรูลูกบิด
ตอนปลายสุดจะบากเป็นช่องเล็กสำหรับพันผูกสายซอบิดลดเร่งเสียง
สายใช้สายไหมทั้ง 2 เส้นๆหนึ่งเป็นสายเอก
อีกเส้นหนึ่งเป็นสายทุ้ม
ต่อมาใช้สายเอ็นผูกที่เดือนใต้กะโหลกผ่าน "หย่อง" ซึ่งทำด้วยไม้เล็ก
เพื่อหนุนสายให้ลอยตัวผ่านหนังหน้าซอไปยังลูกบิดและไปพันผูกที่ปลายลูกบิดทั้งสอง
ก่อนถึงลูกบิดบริเวณใกล้บัว
ใช้เชือกรัดสายให้ตึงห่างจากคันทวนพอประมาณเรียกว่า
"รัดอก"
คันชัก ทำด้วยไม้กลึงกลมโค้งเล็กน้อย
ตอนหัวและหางกลึงเป็นลูกแก้ว
ตอนล่างจะกลึงไม้นูนกลมออกมาจากคันซอเล็กน้อย เพื่อคล้องหางม้า
สำหรับตอนบนเจาะรูเพื่อสอดใส่หางม้าที่มีจำนวนหลายๆเส้น
โดยขมวดไว้ที่ปลายคันซอ
โดยปกติคันชักของซอด้วงและซออู้จะอยู่ในระหว่างสายเอกกับสายทุ้ม
เพื่อให้สวยงามนิยมแกะสลักฝังมุขเป็นลวดลายต่างๆสวยงาม
บางคันทำด้วยงาทั้งคัน ตลอดจนกะโหลกหรือลูกบิดก็เป็นงาด้วย
หลักการสีซอด้วง
ผู้สีนั่งท่าพับเพียบ ลำตัวตรง มือซ้ายจับคันทวน
ให้ฝ่ามือหันเข้าหาลำตัว ไม่หักหรืองอข้อมืออยู่ใต้รัดอก
คันทวนอยู่ชิดง่ามนิ้ว
ระหว่างนิ้วหัวมือกับนิ้วชี้นิ้วหัวแม่มืออยู่ในท่าประคองคันทวน
กระบอกซอวางอยู่ประมาณกึ่งกางของหน้าขาซ้าย
คันทวนอยู่ในแนวตั้ง
แขนซ้ายอยู่ในท่างอข้อศอกห่างจากลำตัวพองาม
มือขวาหงายมือจับคันทวนแบบสามหยิบ ให้คันชักขนานพื้น
วิธีจับแบบสมาหยิบ คือ
มือขวาจับคันชักห่างจากหมุดตรึงหางม้าในช่วงไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ
โดยใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้และนิ้วนางจับก้านคันชัก
และให้นิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนคันชักนิ้วชี้และนิ้วกลางรองรับอยู่ด้านล่าง
ส่วนนิ้วนางสอดเข้าไปในระหว่างก้านคันชักกับกับหางม้า
โดยเรียงลำดับให้สวยงาม
แขนขวาไม่หนีบหรือกางข้อศอกจนเกินงาม
วิธีสีซอด้วงมีดังนี้
1. สีไล่เสียง ด้วยการกดสายทีละนิ้ว ยกเว้นนิ้วก้อย
2. สีไล่เสียง โดยใช้นิ้วก้อย 9
เสียง
3. สีเก็บ คือการสีด้วยพยางค์ถี่ๆโดยตลอดเป็นทำนองเพลง
4. สีสะบัด คือการสีที่มีพยางค์ถี่และเร็ว โดยมากเป็น 3
พยางค์
5. สีนิ้วพรมเปิด
คือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงช้า
6. สีนิ้วพรมปิด
คือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงถี่ๆ
7. สีนิ้วประ
คือการสีสายเปล่าใช้กลางนิ้วของนิ้วกลางแตะขึ้นลงที่สาย
8. สีครั่น
คือการใช้นิ้วกดยืนเสียงตามด้วยนิ้วกลางและใช้นิ้วกลางเลื่อนขึ้นเลื่อนลง
9. สีสะอึก
คือการสีให้เสียงขาดเป็นตอนๆ
10.
สีรัว
คือการใช้ส่วนปลายของคันชักสีออกสีเข้าสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและ
เร็วที่สุด
11.
สีดำเนินทำนองเพลงเป็นทางของจะเข้
ซออู้ เป็นเครื่องสีอีกประเภทหนึ่งที่เป็นคู่มากับซอด้วง
เข้าใจว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ชนชาติจีนเล่นมาก่อน
มารวมเล่นเป็นวงเครื่องสายในระยะเดียวกับซอด้วง
มีหน้าที่สีดำเนินทำนองเพลงในลักษณะหยอกยั่วเย้าไปกับผู้ทำทำนองเพลงบางครั้งใช้สีคลอไปกับร้อง
ด้วยภายหลังเมื่อมีวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์และวงปี่พาทย์ไม้นวม
จึงได้นำซออู้เข้ามาบรรเลงร่วมด้วย
ส่วนประกอบของซออู้มีดังนี้
กะโหลกซอ ทำด้วยกะลามะพร้าว
โดยเฉพาะกะลามะพร้าวที่มีลักษณะ กลมรีขนาดใหญ่
นำมาปาดกะลาออกด้านหนึ่ง เพื่อขึงหรือขึ้นหน้าซอ
ที่ตัวกะโหลกนั้นขัดเกลาให้เรียบ
บางกะโหลกด้านหลังที่เจาะเป็นรู แกะลวดลายต่างๆให้สวยงาม
เพื่อใช้เป็นรูระบายเสียงไปในตัว
ส่วนตอนบนเจาะรูทะลุตรงกลางเพื่อสอดใส่คันทวน
คันทวน ทำด้วยไม้แก่น
กลึงเหลาให้กลมมีลักษณะเรียวยาว โคนเล็ก
ปลายขยายใหญ่ขึ้นคันทวน
เดือย กลึงเล็กเรียวยาวพอทะลุกะโหลกด้านล่างเพื่อไว้ผูกสาย
เท้าช้าง กลึงกลมโดยรอบเพื่อยึดกับกะโหลก
ลูกแก้ว
กลึงกลมโดยรอบต่อจากเท้าช้าง
เส้นลวด กลึงกลมโดยรอบ โดยห่างจากลูกแก้วเล็กน้อย
จากเส้นลวดจะกลึงให้มีขนาดเรียวใหญ่ขึ้นไปจนถึงปลายเรียกว่า"ทวนปลาย"
ที่บริเวณทวนปลายจะกลึงเป็นลูกแก้ว 3 ช่วงห่างกันพอประมาณ
ระหว่างช่วงลูกแก้ว ทั้งสามเจาะรู 2 รูสำหรับสอดใส่ลูกบิด
ปลายสุดของทวนบนจะกลึงคล้ายลูกแก้ว
ตรงกลางขอบสุดจะกลึงขีดเป็นเส้นวงกลม
สำหรับปลายทวนของซออู้จะเป็นไม้ตัน
แต่ทวนบนของซอสามสายจะเป็นโพรงภายใน
ลูกบิด ทำด้วยไม้แก่นกลึงกลมหัวใหญ่
ประกอบลูกแก้ว
ปลายเรียวเล็กเพื่อสอดใส่ในรูคัน
ทวนตอนปลายสุดเจาะรูเล็กเพื่อผูกพันสายซอ
สายใช้สายไหมหรือสายเอ็น 2 เส้น
ผูกที่เดือยใต้กะโหลกขึงผ่าน"หมอน" ซึ่งทำด้วยผ้า
พันลักษณะกลมสำหรับหนุนสายให้ผ่านหน้าซอและไปผ่านหมอนไปถึงลูกบิด
พันผูกที่ลูกบิดทั้งสอง
ก่อนถึงลูกบิดจะใช้เชือกมัดสายทั้งสองกับคันทวนให้ห่างพอประมาณเรียกว่า
" รัดอก "
เพื่อให้เสียงไพเราะยิ่งขึ้น
คันชัก ทำด้วยไม้แก่น เหลากลมยาว
มีลักษณะเช่นเดียวกับคันชักซอด้วงและสอดใส่อยู่ในระหว่างสายเอกกับสายทุ้ม
เพื่อให้สวยงาม
นิยมแกะสลักเป็นลวดลายประดับมุขเป็นลวดลายต่างๆสวยงามบางคันทำด้วยงาทั้งคัน
หลักการสีซออู้
ผู้สีนั่งท่าพับเพียบ ลำตัวตรง มือซ้ายจับคันทวนให้ฝ่ามือหันเข้าหาลำตัว ไม่หักหรืองอ ข้อมืออยู่ใต้รัดอก คันทวนอยู่ชิดง่ามนิ้ว ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ นิ้วหัวแม่มืออยู่ในท่าประคองคันทวน กระบอกซอวางอยู่ประมาณกึ่งกางหน้าขาซ้าย คันทวนอยู่ในแนวตั้ง แขนซ้ายอยู่ในท่างอข้อศอกห่างจากลำตัวพองาม มือขวาหงายมือจับคันทวนแบบสามหยิบ ให้คันชักขนานพื้น วิธีจับแบบสามหยิบ คือมือขวาจับคันชักห่างจากหมุดตรึงหางม้าในช่วงไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้และนิ้วนางจับก้านคันชัก และให้นิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนคันชักนิ้วชี้และนิ้วกลางรองรับอยู่ด้านล่าง ส่วนนิ้วนางสอดเข้าไปในระหว่างก้านคันชักกับหางม้า โดยเรียงลำดับให้สวยงาม แขนขวาไม่หนีบหรือกางข้อศอกจนเกินงาม
วิธีสีซออู้มีดังนี้
1. สีไล่เสียง ด้วยการกดสายทีละนิ้วยกเว้นนิ้วก้อย
2. สีไล่เสียง โดยใช้นิ้วก้อย ๙
เสียง
3. สีเก็บ คือการสีด้วยพยางค์ถี่ๆโดยตลอดเป็นทำนองเพลง
4. สีสะบัด คือการสีที่มีพยางค์ถี่และเร็ว โดยมากเป็น
3 พยางค์
5. สีนิ้วพรมเปิด
คือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงช้า
6. สีนิ้วพรมปิด
คือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงถี่ๆ
7. สีนิ้วประ
คือการสีสายเปล่าใช้กลางนิ้วของนิ้วกลางแตะขึ้นลงที่สาย
8. สีรัว
คือการใช้ส่วนปลายของคันชักสีออกสีเข้าสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและเร็วที่สุด
9.
สีดำเนินทำนองเพลงเป็นทางของจะเข้
ซอสามสาย
เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่เก่ามาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยมีวิธีการประดิษฐ์ลักษณะของซอได้อย่างปราณีต
สวยงาม มีเสียงไพเราะนุ่มนวล
เดิมใช้เป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธี โดยเฉพาะในวง" ขับไม้
" ซึ่งใช้บรรเลงขับกล่อมในพระราชพิธี " กล่อมพระอู่ "
หรือพระราชพิธี " สมโภชน์ขึ้นระวางช้างต้น " ( พิธีกล่อมช้าง )
เป็นต้น ส่วนประกอบของซอสามสายมีดังนี้
กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าวชนิดที่มีลักษณะนูนเป็นกระพุ้งออกมา
3 ปุ่ม คล้ายวงแหวน 3 อัน
วางอยู่ในรูปสามเหลี่ยมจึงเป็นสามเส้า
ผ่ากะลาให้เหลือปุ่มสามเส้า เพื่อใช้เป็นกะโหลกซอ
ขึงขึ้นหน้าซอด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว
โดยปิดปากกะลา
ขนาดของหน้าซอจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับกะลาที่จะหามาได้ที่กะลา
ด้านบนและด้านล่างเจาะรูเพื่อสอดใส่ไม้ยึดคันทวน
โดยให้โผล่ตอนบนยาวกว่าตอนล่าง
คันทวน ทำด้วยไม้แก่นประกบต่อจากกะโหลกซึ่งมี ๓ ตอนคือ
ทวนล่าง ประกอบด้วย " ปากช้างล่าง "
บากไม้ภายในให้รับกับตอนล่าง ของกะโหลก ถัดจากปากช้างล่างมี "
รูร้อยหนวดพราหมณ์ " คือการควั้นเชือกติดกับ
เนื้อไม้เพื่อสำหรับผูกพันสายซอ
จากนั้นจะกลึงไม้แก่นเป็นวงๆเรียงลำดับลดหลั่นลงมาเรียกว่า " เส้นลวด
" ต่อจากนั้นจะกลึงเป็น " ลูกแก้ว " คั่นกลาง
แล้วต่อด้วยเส้นลวด ขนาดลดหลั่นเล็กลงไป
ล่างสุดจะทำเป็นเท้าซอซึ่งทำด้วยโลหะกลึงกลมปลายแหลมเพื่อตรึงยึดกับพื้น
ขณะสี
ทวนล่างจะสอดเข้าไปในไม้ยึดประกบชิดติดกับกะโหลกซอด้านล่างทวนกลาง
กลึงลักษณะกลมยาวภายในโปร่ง เพื่อสอดเข้าไปในไม้ยึด
ตอนโคนเรียบ
จากนั้นจะกลึงเป็นแหวนเรียงลำดับลดหลั่นขึ้นไป
ตอนปลายนิยมแกะสลักประกอบมุขหรืองาเป็นลวดลายต่างๆ
ทวนบน กลึงลักษณะกลมภายในโปร่งเรียวใหญ่ขึ้น มีเส้นลวด 4
เส้นๆที่ ๑-๒-๓ เจาะรูทะลุ สำหรับสอดใส่ลูกบิด
และเจาะรูสำหรับสายซออีกรูหนึ่ง
บริเวณใกล้ตอนรอยต่อทวนกลางกับทวนบน ปลายคันทวนเรียกว่า " ลำโพง
" จะบานผายออก
ปลายสุดจะกลึงเป็นเส้นลวดโดยรอบไว้
ลูกบิด ทำด้วยไม้ กลึงกลมเรียว
ตอนหัวกลึงเป็นรูปเม็ด
ตอนปลายเรียวเล็กลงเพื่อสอดใส่ในรูคันทวนปลาย
ตอนปลายสุดจะบากเป็นช่องไว้สำหรับพันผูกสายซอ
สายซอ
ใช้สายไหมหรือสายเอ็นพันผูกกับหนวดพราหมณ์ที่ทวนล่าง
ขึงผ่านหน้าซอผาดไว้บน " หย่อง " ซึ่งทำด้วยไม้หรืองา
โค้งติดไว้ที่หน้าซอตอนบน
เพื่อหนุนสายให้ลอยเหนือคันทวนกลาง
ปลายทวนกลางจะนำเชือกไหมมารัดสายทั้ง 3
เส้นติดไว้กับคันซอหลายรอบเรียกว่า " รัดอก " จากนั้นนำสายไหมทั้ง ๓
เส้นจะสอดเข้าไปในรูทวนบนเพื่อไปผูกพันที่ปลายลูกบิด
ที่หน้าหนังซอจะใช้รักก้อนเล็กๆประดับด้วยเพชรพลอย
สำหรับเป็นเครื่องถ่วงเสียงให้เกิดกังวานดังไพเราะยิ่งขึ้น
คันชัก ทำด้วยไม้กลมยาว ตอนปลายโค้ง
ใช้หางม้าหลายเส้นผูกรวมกันจากปลายคันชักมาสู่โคนคันชัก
โดยการนำเชือกอีกเส้นหนึ่งมามัดไว้กับโคนคันชัก
เพื่อความสวยงาม ที่ปลายหางม้าจะถักหางเปีย
ที่โคนคันชักจะดัดไม้โค้งงอเล็กน้อย
หลักการสีซอสามสาย
นิยมนั่งในท่าพับเพียบ ให้เท้าของซอปักลงตรงหน้าที่นั่ง มือขวาจับคันชักสีเข้า-ออกโดยผ่านสายทั้งสาม ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วของมือข้างซ้ายกดสายให้แนบชิดติดกับคันทวนกลางเพื่อให้เกิดเสียงสูง-ต่ำตามที่ต้องการ และจะใช้อุ้งมือบังคับคันซอหันไปมาเพื่อให้สายสัมผัสกับคันชัก ซึ่งจะทำให้เกิดเสียง 2 แบบคือ
1.
สีดังเป็นเสียงเดียว
2.
สีดังเป็นสองเสียงพร้อมกันเป็นเสียงประสานที่ไพเราะอันเป็นลักษณะของซอสามสาย
ต่อมาภายหลังนิยมนำซอสามสายเข้าร่วมบรรเลงกับวงเครื่องดนตรีอื่น ๆ
เช่น เข้าร่วมบรรเลงในวง " มโหรี "
(คือวงที่มีเครื่องสายกับเครื่องตีในวงปี่พาทย์ผสมกันโดยย่อสัดส่วนเครื่องดนตรีในวงเครื่องตีหรือวงปี่พาทย์ให้เล็กลงทั้งนี้
เพื่อให้เสียงกลมกลืนกับเครื่องสาย) มีหน้าที่บรรเลงคลอไปกับเสียงร้อง
และบรรเลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีอื่นๆตามทำนองเพลง
เมื่อวงมโหรีขยายขนาดของวงใหญ่ขึ้น
ซอสามสายจึงมีเพิ่มขึ้นอีกคันหนึ่งแต่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า "
ซอสามสายหลิบ " บรรเลงคู่กันไปกับซอที่มีอยู่เดิม
แต่ไม่มีหน้าที่คลอเสียงไปกับคนร้อง
เพียงแต่ช่วยดำเนินทำนอง สอดแทรกแซงในทางเสียงสูง
วิธีสีซอสามสายเพื่อให้เกิดเสียงมีดังนี้
1. การสีสายเปล่าแบบไกวเปล
คือการสีที่ใช้มือขวาจับคันชักแบบสามหยิบ
มือซ้ายกดสายให้เกิดเสียงสูง-ต่ำตามที่ต้องการ
ในขณะเดียวกันจะหันหรือพลิกหน้าซอไปมาให้สายรับกับคันชักมีลักษณะเหมือนไกวเปล
2. การสีไล่เสียง คือการสีที่ไล่เสียงไปตามลำดับสูงต่ำ
3. การสีพร้อมกันทั้งสองสายเปล่าให้เกิดเสียง
คู่สี่ล่างและคู่สี่บน
4. สีเก็บ
คือการสีให้มีพยางค์ถี่ๆโดยตลอด
5. สีนิ้วประ
คือการใช้นิ้วชี้กดยืนเสียงใดเสียงหนึ่งและใช้นิ้วกลางกดขึ้นลงจะเกิดเสียงห่างๆเท่าๆกัน
6. นิ้วพรม คือการทำเช่นเดียวกับนิ้วประ
แต่ยกนิ้วกลางที่กดขึ้นลงให้เกิดเสียงถี่ๆกว่านิ้วประ
7.สีนิ้วแอ้
คือการใช้นิ้วชี้แตะตรงตำแหน่งรัดอกและเลื่อนนิ้วมายังตำแหน่งของเสียงทีหนึ่งพร้อมทั้งสีคันชักออก
8. สีนิ้วครั่น
คือการใช้นิ้วชี้กับนิ้วนางเรียงชิดติดกันกดลงบนสายพร้อมทั้งเลื่อนนิ้วขึ้นลงให้เกิดครึ่งเสียงและตามด้วยการพรมนิ้ว
9.
การสีดำเนินทำนองเพลงทำให้เกิดเป็นทางเฉพาะของซอสามสาย
สะล้อ
เป็นเครื่องสีอีกอย่างหนึ่งนิยมบรรเลงเล่นกันในภาคเหนือของไทยดังมีชื่อเรียกกันว่า
" วงสะล้อซอซึง " เดิมเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ไปแอ่วสาว
ต่อมาใช้บรรเลงรวมวงกับซึงและปี่จุม เรียกว่า " วงดนตรีพื้นเมืองเหนือ
" สามารถบรรเลงเพลงสำเนียงเหนือได้อย่างไพเราะ
เช่นเพลงละม้าย จะปุ อื่อ ประสาทไหว
เพลงเชียงใหม่ฯเป็นต้น เดิมเป็นเครื่องสีที่มี 2
สาย สีด้วยคันชักคล้ายซอด้วง
มีวิธีการประดิษฐ์ไม่สู้ปราณีตนัก
ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายตามพื้นบ้าน
ต่อมาภายหลังพบว่าได้มีการสร้างสะล้อขึ้นด้วยความปราณีตสวยงามขึ้นและเพิ่มสะล้อขึ้นเป็น
3 ขนาดคือ
1. สะล้อเล็กมี 2
สาย
2. สะล้อกลางมี 2
สายแต่ใหญ่กว่าสะล้อเล็ก
3. สะล้อใหญ่มี 3 สายขนาดใหญ่กว่าสะล้อกลาง
ทั้ง 3 ระดับได้ทำขึ้นอย่างปราณีตโดยคันทวนทำด้วยงา ที่กะโหลกก็ประดับงาบางคันทำด้วยไม้แต่ประกอบด้วยงา ส่วนประกอบของสะล้อมีดังนี้
กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าว
ไม่ใหญ่เหมือนกะโหลกซออู้ ตัดปาดครึ่งลูกสำหรับขึ้นหน้า
ด้านหลังเจาะเป็นช่องระบายเสียงมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ
ตอนบนเจาะรูทะลุด้านล่างเพื่อสอดใส่ไม้คันซอ
คันทวน ทำด้วยไม้เนื้อแข็งกลึงกลม เรียวยาว
ตอนล่างเล็ก
ตอนปลายจะขยายใหญ่ขึ้น
ตอนล่างสุดจะสร้างคล้ายกับทวนล่างของซอสามสาย
แต่เล็กกว่าคือกลึงเป็นเส้นลวดเรียงตามลำดับ
มีเท้าซึ่งทำด้วยโลหะแหลมสำหรับปักลงกับพื้น (
บางคันคันไม่ได้ทำเท้าเป็นโละ)
ช่วงต่อจากกะโหลกจะกลึงเป็นเส้นลวดโดยรอบห่างพอสมควร
กลึงเส้นลวดอีกอันหนึ่ง ส่วนตอนบนกลึงลูกแก้ว 2 ลูก
ตรงช่องกลางลูกแก้วเจาะเป็นรู 2
รูทะแยงกันสูงต่ำกันเล็กน้อยเพื่อสอดใส่ลูกบิด
ที่ปลายสุดของคันซอ ( ทวนปลาย )
จะกลึงเป็นเม็ดเพื่อความสวยงาม
ลูกบิด
ทำด้วยไม้กลึงกลมเรียวหัวกลึงเป็นเม็ดปลายเรียวแหลมสำหรับ
สอดใส่ในรูคันซอ
หน้าซอ
ทำด้วยไม้แผ่นบางๆปิดหน้ากะลา
สายใช้สายลวด ๒ สายผูกกับหลัก
ซึ่งทำด้วยไม้หรือโลหะโค้งเล็กน้อย ลากสายผ่าน" หย่อง "
ซึ่งทำด้วยไม้ลักษณะเป็น ๓ เหลี่ยมเพื่อหนุนสายให้ลอยตัว
จากนั้นลากผ่านคันซอขึ้นไปพันผูกที่ลูกบิดทั้งสอง
ก่อนถึงลูกบิดจะใช้หวายมัดให้สายติดกับคับซอเรียกว่า " รัดอก "
การที่ใช้หวายมัดเป็นรัดอกจะทำให้เสียงกังวานและแกร่งขึ้น
ในระหว่างรัดอกจะมี" จิม "
ซึ่งทำด้วยไม้แผ่นบางๆมายัดให้แน่นขณะเลื่อนรัดอก
เพื่อหาเสียงที่ไพเราะ
คันชักมีลักษณะเช่นเดียวกับคันชักของซอด้วง
พบสะล้อที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความปราณีตสวยงาม
ที่บ้านของเจ้าสุนทร ณ.
เชียงใหม่ครูดนตรีพื้นเมืองของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ท่านได้สร้างขึ้นให้มีเสียงดังกังวาน
โดยการเพิ่มกะลามะพร้าวที่ทำเป็นกะโหลกให้มีลักษณะเป็นพูเช่นเดียวกับกะโหลกซอสามสายเจาะ
ตรงพูให้เป็นรูปหัวใจเพื่อระบายเสียงให้กังวานคันทวน
ทำด้วยงา
โคนทวนกลางกลึงเป็นรูปวงแหวนลดหลั่นตามลำดับปลายทวนกลึงเป็นลูกแก้วลูกบิดก็กลึงเป็นลูกแก้วประดับเม็ดระหว่างลูกบิดทั้งสามจะกลึงเป็นรูปแหวน
2 วงขนาบลูกบิดไว้ ส่วนสายนั้นใช้สายกีต้าแทน
หลักการสีสะล้อ
เดิมผู้สียืนสี คาดผ้าที่เอวให้ปลายคันทวนปักลงที่ผ้าคาดเอว มือขวาจับคันชักมือซ้ายกดสายลำตัวสะล้อค่อนไปทางซ้ายมือของผู้ดีด ปัจจุบันผู้ดีดนั่งสีในท่าขัดสมาธิหรือพับเพียง ปักปลายคันทวนลงกับพื้นด้านหน้าทางซ้าย มือขวาจับคันชัก มือซ้ายกดสายเวลาสีจะพลิกตัวสะล้อหันไปมาเพื่อรับกับสายคันชัก
วิธีสีและเสียงของสะล้อมีดังนี้
1.การสีสายเปล่า
2.การสีไล่เสียงยาวๆ
3.การสีเก็บ
4.การสีพรม
5.การสีดำเนินทำนองสะล้อ
อยากได้ชื่อและประวัติของเครื่องดนตรีในภาคเหนือหาได้ที่ไหนค่ะ ต้องการเอาไปทำรายงานวิชาดนตรี-นาฏศิลป์อย่างด่วนค่ะ
น้อง
สวัสดีครับ
ครูโย่งสอนดนตรีไทยด้วยเหรอครับ
เมื่อไหร่เล่าเรื่องอังกะลุงครับ รออ่าน (อันนี้ของจริง ไม่ได้แซว)
ยาวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สวัสดีค่ะ คือว่าอยากได้ปรของคีตกวีในสมัยรัตนโกสินทร์ จ้าว่ามีใครบ้างทำหน้าที่อะไรอะ
และประวัติเครื่องดนตรีตั้งแต่ ร.6 ถึง ร.9 ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างอะค่ะ ตอนนี้ต้องทำงานส่งอยากได้ข้อมูลและคำแนะนำจ้า ถ้ามีกรุณาส่งให้ทีนะคะจะขอบคุณอย่างแรงจ้า [email protected]
สวัสดีคร้าบ
ตามมาดูเครื่องดนตรีไทย ประเภทสี
เผื่อว่าสักวัน จะมีโอกาสได้สีกะเขาบ้าง..อิ อิ
สบายดีนะครับ วันนี้ก็ยังคิดถึงอยู่เด้อ
ขอบ คุณ เพราะ กำ ลัง จะ ทาม ราย งาย อยู่ เยย โชค ดี โคต
ขอบคุณค่ะหนูดีใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยหนูทามรายงานเสร็จแล้ว
หนูก็ทามรายงานเสร็จแย้วขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เลวสุดๆ
ผ ม มัน โง่
ขอบคุณสำหรับข้อมูลคร่ะ
ต้องใช้ในการทำรายงานพอดีเลย
ช่วยได้มากเลยค่ะ
thanks หลายจ้า~*
ดี ค๊
ต้อง การ ควา มรู้ เกี่ย วกับ ดน ตรีไท ยม ากเ ลย ค๊
ทำไมบางทีที่ พิมพ์ว่า ประเภทเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีด,ตี,เป่า,สีบางอันมัน ปนกันไปหมด ล่ะค่ะ
เเล้วทำไมบางอัน ถึง ไม่ปนกันล่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะที่เขียนไว้ข้างบนเกี่ยวกับดนตรีไทยนะค่ะ เพราะต้องทำการบ้าน น่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะที่เขียนไว้ข้างบนเกี่ยวกับดนตรีไทยนะค่ะ เพราะต้องทำการบ้าน น่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะ ถ้าไม่ได้เว็บนี้แย่แน่เลย
บอกเครื่องดนตรีแบบสีได้อีกไหมค่ะ
thank you very much
ขอบคุณมากๆคับคุณคูร
ดีจังเลย
สวัสดีค่ะ