แนวคิด “คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน”
ได้รับความแพร่หลายและวางรากฐานในสังคมไทยมานานพอสมควร
ตั้งแต่ยุคสมัยของมหาตมะ คานธี
จนกระทั่งถึงปัจจุบันมีศัพท์ใหม่ที่ใช้เรียกเป็นกระแสร่วมสมัยที่พัฒนาในเนื้อหารายละเอียดไปอีกมากโดยพิทยา
ว่องกุล “ชุมชนาธิปไตย”
เช่นเดียวกับกระแสชุมชนนิยมอื่นๆ
แนวคิดชุมชนาธิปไตยก็เน้นความเข้มแข็งของชุมชนเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ได้ประยุกต์ให้ผสมผสานหลักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมเรื่องทุน
เพื่อสร้างรากฐานให้ชุมชนาธิปไตยสามารถปักหลักมั่นคงอยู่ในกระแสทุนนิยมตลาดเสรีได้
โดยสิ่งที่เป็นจุดยืนของแนวคิดเรื่องทุนในชุมชนาธิปไตยก็คือ
หลักการปฏิสัมพันธ์แบบพึ่งพิงกันเป็นห่วงโซ่ชีวิตเป็นเศรษฐธรรมในธรรมชาติ
หลอมรวมวงจรทุนและการผลิตกลายเป็นยุทธวิธีการสร้างวงจรทุนของชุมชน
เป็นธนาคารทุนประเภทต่างๆ ของหมู่บ้านนั้น ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ 7
ประเภทคือ
- ทุนเงินตรา เช่น
กลุ่มออมทรัพย์หรือสหกรณ์ออมทรัพย์
- ทุนธุรกิจการค้า เช่น สหกรณ์ร้านค้า
ศูนย์สาธิตการตลาด กองทุนน้ำมันในหมู่บ้าน
- ทุนแห่งชีวิต เช่น กลุ่มเลี้ยงปลา
กลุ่มปลูกผัก สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเลี้ยงไหม กลุ่มเลี้ยงผึ้ง
ธนาคารข้าว ชมรมชาวประมงรายย่อย ธนาคารโคกระบือ ฯลฯ
- ทุนแรงงานฝีมือ เช่น กลุ่มปั้นหม้อ
กลุ่มจักสาน กลุ่มทอผ้า กลุ่มตีเหล็ก กลุ่มทำเครื่องถม กลุ่มช่างไม้
กลุ่มช่างแกะสลัก เป็นต้น
- ทุนสวัสดิการชีวิต เช่น กลุ่มฌาปนกิจ
กองทุนยา ธนาคารชีวิต ธนาคารสุขภาพ
กลุ่มสวัสดิการหมู่บ้าน
- ทุนรวมแรงงาน หรือธนาคารแรงงาน เช่น
กลุ่มลงแขก แชร์แรงงาน กลุ่มซอมือ กลุ่มแรงงานรับจ้าง ฯลฯ
- ทุนอุตสาหกรรมชุมชน เช่น
กลุ่มที่ร่วมกันแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร
ระดมทุนกันทำอุตสาหกรรมขนาดย่อยหรือระดับครัวเรือน
ซึ่งมีระบบการทำธุรกิจชุมชนร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการผลิต
การรวบรวมผลผลิต หรือระบบการกระจายกันผลิตแต่บริหารการตลาดโดยกลุ่ม
เช่น โรงงานยางพาราของชุมชน กลุ่มผลิตน้ำผลไม้ชุมชน
ชุมชนผลิตอุตสาหกรรมยาสระผมและสบู่ของชุมชน กลุ่มผลิตทุเรียนกวน
เป็นต้น
การเริ่มต้นของธนาคารหมู่บ้านแบบใดแบบหนึ่ง จะต้องมาจากทุน 7
ประเภทนี้ ในชุมชนมีทุนด้านไหน ก็เริ่มจากตรงนั้น
อาศัยวิธีที่แตกต่างหลากหลายเป็นฐานการสร้างตัวเองไปสู่ความเจริญ
โดยอาศัยสภาพความจริงของหมู่บ้านนั้นเป็นหลัก
ดังนั้นหมู่บ้านที่ยากจนก็ยังพอมีวิธีทางตั้งธนาคารหมู่บ้านขึ้นมาเองได้
ด้วยแรงงาน ด้วยพืช สัตว์ เป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจชุมชนที่ทำได้จริง
ถ้าหากรู้กฎของทุนในชนบท มีความซื่อสัตย์สุจริต
และมีความเพียรพยายาม
ยกตัวอย่างเช่นในหมู่บ้านที่ยากจน
สามารถใช้ทุนรวมแรงงานกับที่ดินว่างเปล่าของหมู่บ้าน
สร้างธนาคารข้าวเพื่อเป็นหลักประกันการอดอยากและช่วยตัดวงจรหนี้สิน
เมื่อเวลาผ่านไปธนาคารข้าวจะเพิ่มจำนวนข้าวมากขึ้น
ทั้งจากดอกผลที่กู้ยืมและการร่วมกันทำนาในปีต่อๆ มา พร้อมๆ
กับชาวบ้านยากจนบางคนได้ปลดหนี้สินจากพ่อค้า
สามารถเพิ่มผลผลิตด้วยตัวเอง ข้าวในธนาคารข้าวที่เพิ่มขึ้นและเหลือ
สามารถนำไปขายสร้างวงจรทุนต่อไปได้ เช่น สหกรณ์ร้านค้า
หรือกลุ่มออมทรัพย์ หรือกองทุนปุ๋ย
เพื่อเป็นหลักประกันในการซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคราคาถูก
หลักประกันการมีระบบเงินทุนของหมู่บ้าน
หรือหลักประกันของการลงทุนทางการเกษตรราคาถูก
ซึ่งในระยะต่อมาก็จะสามารถสร้างกองทุนอุตสาหกรรมชุมชนประเภทต่างๆ
และกองทุนสวัสดิการ หรือกองทุนสำหรับแก้ปัญหาอื่นๆ
โดยเฉพาะของชุมชนขึ้นมาได้
อุตสาหกรรมชุมชน
จึงเป็นการพัฒนาของวงจรทุนขั้นสุดท้าย
ที่นำให้ชุมชนก้าวเข้าสู่ความเข้มแข็งในระบบตลาดเสรีทุนนิยม
ทั้งนี้อุตสาหกรรมชุมชนเป็นแนวคิดที่มุ่งแปรรูปผลผลิตตามธรรมชาติ
หรือกระทำการผลิตสินค้าโดยสมาชิกในชุมชน
เพื่อการบริโภคและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ด้วยหลักคิดสำคัญที่ว่า
ความหลากหลายของผลผลิตในชุมชน ทั้งในด้านการบริโภคแบบพึ่งพาตนเอง
การเก็บหรือถนอมอาหารไว้กินในครอบครัวและในชุมชน
จะช่วยลดรายจ่ายให้ครอบครัว
และสร้างเสริมสุขภาพอนามัยให้ตนเองได้อย่างดี
และอย่างรับผิดชอบดีที่สุดของชุมชน
ซึ่งจะเป็นฐานการสร้างสังคมสุขภาพอนามัยที่ดีมีคุณธรรม
ไม่เห็นแก่ประโยชน์ด้านกำไรสูงสุดเช่นที่นักธุรกิจกระทำกันในปัจจุบัน
โดยเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา
จะเห็นได้ว่าแนวคิดและเป้าหมายของชุมชนาธิปไตย
สอดคล้องกับแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยิ่ง
แม้แต่ขั้นตอนไปสู่ระดับการพึ่งตนเองสูงสุด
วงจรทุนระดับสูงสุดของชุมชนที่นำไปสู่การปักหลักมั่นคงในตลาดเสรีทุนนิยม
ก็คล้ายคลึงกับขั้นตอนในทฤษฎีใหม่อย่างยิ่ง ทั้งขั้นตอนในทฤษฎีใหม่ 3
ขั้นตอนในเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรูปธรรม 3
ขั้นตอนสู่เศรษฐกิจชุมชนอันเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียงของหมอประเวศ…
ในแนวคิดชุมชนาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน ได้วางยุทธศาสตร์รูปธรรมไว้ที่
“อุตสาหกรรมชุมชน” อันประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนคือ
- จุดเริ่มต้นของการแปรรูป หรือผลิตสินค้าของสมาชิก
เน้นการผลิตเพื่อบริโภคหรืออุปโภคของตนเองในครัวเรือนเป็นหลัก
ดังนั้นการผลิตสินค้าจะมีลักษณะหลากหลาย เพื่อการพึ่งตนเอง
ลดรายจ่ายที่เสียไปจากการซื้อ
และป้องกันไม่ให้เงินของชุมชนไหลออกไปนอกชุมชนโดยไม่จำเป็น
ทำให้มีเงินหมุนเวียนแพร่สะพัดอยู่ภายในหมู่บ้าน
นั่นคือการมุ่งผลิตเพื่อตลาดที่เป็นตัวเองของผู้ผลิต
(เปรียบเทียบกับเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1
ครัวเรือนพอเพียง)
- ขยับขยายการผลิตออกไปสู่เพื่อนบ้าน
เพื่อช่วยลดภาระซื้อของแพงแก่เพื่อนบ้าน
เป้าหมายคือการช่วยลดรายจ่ายให้เพื่อนบ้าน
และแทนที่การนำเข้าสินค้าจากภายนอกชุมชน
(เปรียบเทียบกับเศรษฐกิจพอเพียงก็คือทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2
ชุมชนพอเพียง)
- การประยุกต์ใช้ฐานการผลิตจากอุปกรณ์ง่ายๆ
ที่สามารถทำได้ในพื้นที่ และใช้ฐานคนจำนวนมาก (ระบบการจัดการในชุมชน)
แทนเครื่องจักรขนาดใหญ่
เพื่อให้สามารถทำการผลิตในธุรกิจชุมชนที่เหมือนกับการผลิตจากบริษัทขนาดใหญ่
แต่มีการลงทุนที่ต่ำกว่ามาก (สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ
“Small is Beatiful” ของอี.เอฟ. ชูเมกเกอร์)
นั่นคือการทำตลาดด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมเชื่อมโยงไปยังนอกชุมชน
นำเอาสินค้าที่เหลือจากการใช้ภายในชุมชนแล้วออกจำหน่าย
โดยในภาวะที่สินค้าล้นตลาด
ทางชุมชนก็เพียงแต่ลดกำลังการผลิตลงซึ่งไม่ได้เดือดร้อนอะไร
เพราะแม้ไม่ผลิตก็สามารถอยู่ได้ และไม่มีการขาดทุนจากของเหลือใช้เอง
(เปรียบเทียบกับเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3
ที่เชื่อมโยงระบบตลาดและการผลิตเข้าสู่ระบบตลาดปัจจุบัน
เพียงแต่ของพิทยา ว่องกุล เน้นกลไกตลาดเสรีมากกว่า “ความร่วมมือ”
กับองค์กรภายนอกแบบในหลวง)
สำหรับการวางยุทธศาสตร์ของพิทยา ว่องกุล
เริ่มจากความเข้าใจในวิสัยทัศน์การพัฒนากระแสหลักที่เน้นการรวมศูนย์ทุนและทรัพยากร
นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจสังคม
เมื่อรวมกับวิสัยทัศน์ด้านศักยภาพชุมชนที่พบเสถียรภาพแม้อยู่ในท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ
กำหนดออกมาเป็นยุทธศาสตร์หลักสำหรับชุมชนคือ การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่
ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ดังนี้
การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ของชุมชน
มีความแตกต่างจากการพัฒนากระแสหลักคือ
- เน้นกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน เพื่อสร้างฐานความรู้
และองค์ความรู้ที่เป็นของตนเอง
รวมไปถึงการวางแผนพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วมของสมาชิก โดยผู้นำ
ผู้ทรงภูมิปัญญาในชุมชนเป็นแกนกลาง
พัฒนาและรวบรวมความรู้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชน
ซึ่งจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมแก่ชุมชนได้
- เน้นกระบวนการสร้างทุนชุมชน/ทุนสังคม
ครอบคลุมทั้งเรื่องการสร้างกลุ่มโดยอาศัยเงินตราเป็นสื่อ
และทุนทางสังคมที่มาจากบุคลากร ภูมิปัญญา ประเพณีวัฒนธรรมชุมชน
สถาบันในชุมชน สาธารณสมบัติ ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ฯลฯ
- กระบวนการศึกษาวิจัย
ควรปรับเป็นกระบวนทัศน์ใหม่เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนา
แสวงหาความร่วมมือจากนักวิชาการ หรือสถาบันการศึกษา
หรือหน่วยงานภายนอกชุมชน กับส่งเสริมให้ชุมชน หรือสถาบันในชุมชน
(โรงเรียน ครู ปัญญาชน ผู้นำชุมชน) ทำงานวิจัยเอง
เพื่อนำผลที่ได้มาวางแผนพัฒนาชุมชนในขั้นตอนต่อไป
โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมการพัฒนาที่กำหนดขึ้นจากการวิจัยด้วย
- กระบวนการผสานความหลากหลายจากปัจจัยที่เป็นคุณต่อการพัฒนา
เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ที่ชุมชนเปิดรับเอาความรู้
และความช่วยเหลือจากภายนอก โดยการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างชุมชน
ชุมชนกับหน่วยงานของรัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน และร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ
องค์กรพัฒนาเอกชน หรือแหล่งเงินทุนต่างประเทศ
โดยมีชุมชนเป็นผู้ตัดสินและวางแผนพัฒนาตนเอง
กระบวนการผสานความหลากหลายของปัจจัยดังกล่าวจะนำไปสู่ความร่วมมือพหุภาคี
ซึ่งผลดังกล่าวจะเชื่อมโยงไปสู่แผนระดับภาค ระดับชาติ
และส่งผลกระทบต่อการวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมโดยรวมในท้ายสุด
- กระบวนการสร้างเครือข่ายชุมชน
ที่จะต่อยอดความรู้ในการพัฒนาตนเองและเครือข่ายตลอดเวลา
เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเครือข่ายของตนอย่างมีพลัง
นำไปสู่การยกระดับทุนจากการร่วมทุนระหว่างองค์กร
และการพัฒนาระบบตลาดของเครือข่าย
รวมไปถึงการพัฒนาสถาบันการเงินของเครือข่าย
การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ 5 ประการดังกล่าว
จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ 5
ประการที่เป็นพัฒนาชุมชนแบบ “องค์รวม” คือ
- โครงสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน พึ่งตนเองได้
พัฒนาไปสู่ธุรกิจชุมชน อุตสาหกรรมชุมชน
และความร่วมมือเป็นเครือข่าย
- ชุมชนจะเป็นฐานสังคมใหม่ที่มีระบบการศึกษา สาธารณสุข
ระบบสวัสดิการ และกฎหมายที่มาจากชุมชนเป็นของชุมชน
- ความเข้มแข็งของชุมชน และกระบวนทัศน์ใหม่ในการพัฒนา
จะสร้างโครงสร้างสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศน์ที่ดี
ใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสมและยั่งยืน
- นำไปสู่โครงสร้างทางการเมืองที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ในทุกระบบการพัฒนา
- ระบบความร่วมมือแบบพหุภาคี ที่มีประสิทธิภาพ
และเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม
ระบบแนวคิดเศรษฐกิจที่มีความเป็นระบบรอบด้านตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงยุทธศาสตร์รูปธรรม
ของในหลวงและนักคิด 2 ท่านที่ได้กล่าวมานี้
มีความเพียงพอต่อการสร้างความเข้าใจในความสอดคล้องและพัฒนาการที่แตกต่างกันที่เกิดขึ้นในไทย
ดังนั้นในหัวข้อต่อไปจะกล่าวถึงแต่เฉพาะสิ่งตัวอย่างที่เป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจในแนวเศรษฐกิจพอเพียงอย่างสั้นๆ
โดยในโอกาสหน้าจะได้มีการนำเสนออย่างละเอียดต่อไป นวัตกรรมและตัวอย่างความสำเร็จ…
แนวโน้มสู่อนาคต
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดแบบใด
เมื่อลงไปในระดับรูปธรรมแล้วจะพบว่าล้วนใช้ตัวอย่างเดียวกันทั้งสิ้น
อย่างเช่น กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ของครูซบ ยอดแก้ว
ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมัวกันตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อให้สมาชิกกู้ไปทำอาชีพ
และเพื่อการจัดสวัสดิการชุมชน ปัจจุบันมีสมาชิก 6 หมื่นคน
เครือข่ายกว่า 250 กองทุน มีเงินหมุนเวียนกว่า 371 ล้านบาท
หรือกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ของพระสุบิน ปณีโต กลุ่มชุมชนไม้เรียง
กลุ่มเกษตรผสมผสานที่ขอนแก่น ธุรกิจชุมชนของบริษัทบางจาก
ที่ทำให้ชาวบ้านหลุดจากสภาพหนี้มีเงินออม เป็นต้น
หมอประเวศได้กล่าวถึงปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ว่า
เรื่องเศรษฐกิจพื้นฐานหรือเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องยาก
และจะเห็นได้ว่าชนบทมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับทรัพยากรและการผลิตพื้นฐาน
มีศักยภาพในการดำเนินการอย่างมาก
เพียงแต่ขาดการส่งเสริมดูแลจากการบริหารด้านบน
และองค์ความรู้จำนวนหนึ่ง
ที่ชาวบ้านสามารถนำมาเป็นรูปธรรมประยุกต์ใช้งานได้
ดังนั้น นวัตกรรมใหม่ๆ
ที่ต่อยอดเสริมจากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง – ทฤษฎีใหม่
เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
ซึ่งมีผู้เข้าร่วมพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้อย่างมากมาย นอกจากหมอประเวศ
วะสี หรือพิทยา ว่องกุล แล้ว ยังมีดร.เสรี พงษ์พิศ ที่เสนอ
“วาระของชุมชน” หรือ ดร. ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์ที่เสนอ
“ศูนย์การเรียนรู้ธุรกิจชุมชน”
หรือการรวบรวมประสบการณ์ของนักพัฒนาเอกชนอย่างบัณฑร อ่อนดำ
หรือจากองค์กรพัฒนาเอกชนอีกจำนวนหนึ่ง
ก็เป็นรูปธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างมากที่น่าจะมีการรวบรวมอย่างเป็นระบบต่อไป
ทั้งนี้อาจรวมกลไกนโยบายระดับรัฐ
อย่างที่ปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
รวมเข้าไปด้วย
อย่างไรก็ตามหากดูหลักการเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“ความพอประมาณและความมีเหตุผล”
จะเห็นได้ว่ามีความตรงกันข้ามกับกระแสโลกอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังก้าวเข้าสู่การแข่งขันเสรี
เป็นตลาดโลกตลาดเดียว
ซึ่งไทยเราก็อยู่ในกระแสเหล่านี้ด้วยโดยรัฐมีบทบาทนำในเรื่องดังกล่าว
ทั้งเรื่องการปรับแก้กฎหมายและนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ
ที่เน้นการ “แข่งขัน” “เติบโตอย่างเสรี” ไม่ใช่ “พอเพียง”
ในตลาดเดียวกัน
การมีสองนโยบายย่อมก่อให้เกิดความไม่กลมกลืนกันอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตและการตลาดที่ไม่เน้นแข่งขัน
เหลือจึงขายแบบเศรษฐกิจพอเพียง
เมื่อต้องเชื่อมต่อเข้ากับเศรษฐกิจการตลาดแบบแข่งขันเสรี
จะสามารถทนทานต่อเปลี่ยนแปลงไปสู่กระแสการแข่งขันในตลาดเสรีได้หรือไม่
ในเมื่อในทฤษฎีขั้นที่สามที่ต้องอาศัยการติดต่อเชื่อมโยงเพื่อ
“ร่วมมือ” กับองค์กรภายนอก ความร่วมมือดังกล่าว
จะทำให้ชุมชนหรือกลุ่มไม่เพียงแต่มีความรู้ด้านการผลิตเท่านั้น
แต่จะต้องมีความรู้ด้านการตลาดอีกด้วย
นั่นคือโอกาสทางการตลาดที่ชุมชนมองเห็น
ย่อมเป็นโอกาสของชุมชนที่จะก้าวเข้าสู่การแข่งขันในตลาดเสรี
และออกจากการเป็นเศรษฐกิจพอเพียง
นอกจากนี้แล้ว ฐานของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเน้นไปเรื่อง
“ชุมชน”
ซึ่งปัจจุบันกำลังมีสถานภาพไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นเมืองอยู่ตลอดเวลา
ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงมีความสั่นคลอนตามไปด้วย
สิ่งที่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงขาดไปก็คือ คุณค่า
หรือผลที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของเศรษฐกิจพอเพียง
ดังนั้นแนวโน้มของการพัฒนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
จึงยังไม่สามารถออกไปจากแนวคิดเกี่ยวกับ การผลิต การตลาด และกำไรได้
แม้ว่าเป้าหมายค่อนข้างแน่ชัดว่าคือการ “อุ้มชูตัวเองได้
ให้เพียงพอต่อตัวเอง” เมื่อชาวบ้านพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงไปได้ระยะหนึ่ง
การนึกถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจของตนจะพุ่งไปที่คุณค่าที่มองเห็นได้ชัด
นั่นคือ “กำไร” … กำไรมากๆ ก็คือตัววัดศักยภาพในการอุ้มชูตัวเองได้
และนำชุมชนออกจากเศรษฐกิจพอเพียง
ไปสู่เศรษฐกิจเสรีไปในที่สุด
แต่ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นใดก็ตาม
เศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทรงคุณค่า
และทำให้เรามองเห็นโอกาสของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สามารถยืนอยู่ได้บนพื้นฐานของตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง
ในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ …
บรรณานุกรม
- พระราชดำรัสวันที่ 4 ธันวาคม 2540 จากเว็บกาญจนาภิเษก
http://www.kanchanapisek.or.th
- ศ.นพ. ประเวศ วะสี, 2541. ยุทธศาสตร์ชาติ
เพื่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สังคม และศีลธรรม,
สนพ.หมอชาวบ้าน
- ศ.นพ. ประเวศ วะสี, 2541. ประชาคมตำบล :
ยุทธศาสตร์เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง ศีลธรรม และสุขภาพ, สนพ.มติชน และ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
- ศ.นพ. ประเวศ วะสี, 2542. เศรษฐกิจพอเพียงและประชาสังคม
แนวทางการพลิกฟื้นเศรษฐกิจสังคม, สนพ.หมอชาวบ้าน
- พิทยา ว่องกุล (บรรณาธิการ), 2542. สร้างสังคมใหม่ :
ชุมชนาธิปไตย – ธัมมาธิปไตย, โครงการวิถีทรรศน์ ชุดภูมิปัญญา ลำดับที่
9 สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
และมูลนิธิภูมิปัญญา
- พิทยา ว่องกุล (บรรณาธิการ), 2542. รับวิกฤติโลกปี 2000
เศรษฐกิจยั่งยืน, โครงการวิถีทรรศน์ ชุดโลกาภิวัฒน์ ลำดับที่ 10
สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
และมูลนิธิภูมิปัญญา
Reference :
http://www.thaitopic.com/mag/econ/suff.htm#5