คุณนภินทร
ศิริไทย:
เห็นไหมคะว่าเมื่อวานนี้เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 10
คนเราก็ได้รับความรู้มากมาย ซึ่งถ้าเราแลก
เปลี่ยนเรียนรู้มากกว่านี้จะมีพลังมหาศาล
แต่ว่าอยากจะให้ทุกท่านได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนเพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาบ้าง
เมื่อวานนี้เราพูดถึงนักปฏิบัติเป็นครูเป็นคุณอำนวย เป็นคุณกิจ
วันนี้เราจะมาดูว่าในฐานะที่เป็น CKO
ซึ่งเป็นนักบริหารหรือผู้บริหารของโรงเรียนมีบทบาทในการสนับสนุน
เพื่อพัฒนานักเรียน
สุดท้ายคือมุ่งไปสู่การพัฒนาองค์กรได้อย่างไร
แต่ละท่านจะมีบทบาทอย่างไร ขอเชิญ อ. จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาครั้งนี้
ขอเรียนเชิญค่ะ
อ. จิรัชฌา
วิเชียรปัญญา :
ขอกล่าวสวัสดีท่านที่เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน
โดยเฉพาะท่านที่เป็นครูของแผ่นดิน ดิฉัน ดูตาม
profile
แสดงว่าทุกท่านเห็นด้วยกับความรู้ที่ฝังแนบแน่นกับในองค์กร
แม้ว่าเราไม่ได้เป็นครู แต่เราจะเป็น coach measurer
ในอนาคตในหน้างาน ตรงนี้จะให้ขุมทรัพย์อย่างมาก
ดิฉันก็ต้องกราบขอบพระคุณ สคส.
ที่เปิดพรมแดนหรือพื้นที่โอกาสให้ดิฉันซึ่งเป็นนักจัดการความรู้ภาครัฐ
กับเอกชน เพราะ thesis ดิฉันทำในเรื่องนี้
ทางด้านการศึกษายังไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไร ถือว่าวันนี้ทาง สคส.
ได้เปิดพื้นที่ให้ดิฉันได้เติมเต็มมารับความรู้จากท่าน
เมื่อวานเราคุยเรื่องกลยุทธ์ในจัดการความรู้
แต่วันนี้เราจะมาฟังเรื่องเล่าที่ประสบความสำเร็จของ CKO
การบริหารจัดการ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ถามว่า
CKO สำคัญอย่างไร วันนี้มีศัพท์ใหม่ที่เรียกว่า
CKO ตรงนี้ literature กำลังมีเยอะเลย เพราะ
CKO มีที่ฝังอยู่ในองค์กร เพระฉะนั้นผู้ที่เป็น
coach measurer
จะต้องมีแนวคิดที่หลากหลายสำหรับคนที่หลากหลาย
พบว่าผู้นำเป็นปัจจัยความสำเร็จที่เรียกว่าเส้นทางอธิพลที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรสูงมาก
เพราะฉะนั้นในวันนี้บางท่านอาจยังไม่ได้เป็นผู้บริหาร
แต่ท่านอาจมีลักษณะการนำ การนำมีลักษณะขององค์กรก็ได้
ในวันนี้เราจะได้ตัวอย่างของผู้บริการการศึกษา
และในวันนี้อยากเชิญชวนทุกท่านเป็นคุณลิขิตร่วมกัน ว่าท่านได้อะไร
แล้วเรามาแลกเปลี่ยนกันตอนเย็นลิขิตได้อะไร แต่พี่ๆ
เติมเต็มให้เห็นมุมมองหลายๆ มุมมอง
ขอเรียนเชิญเติมท่านเติมเต็มตอนเย็น
เพื่อไม่ให้เสียเวลาดิฉันจะขอปรับเวลา
เดิมจะมีการนำเสนอสองท่านและเป็นการเสนอ knowledge assets จะเปลี่ยน
เป็นตอนเย็นเพื่อท่านผู้บริหารจะมีเวลาได้เล่าอย่างเต็มที่
และใช้เวลาให้มากเท่าที่เรามีอยู่
ในวันนี้เราได้รับเกียรติจากอาจารย์ธิดา พิทักษ์สินสุข
จากโรงเรียนเพลินพัฒนา กรุงเทพ, อาจารย์ชาญเลิศ
อำไพวรรณ โรงเรียนวัดศรัทธาธรรม
จังหวัดสมุทรสงคราม
ในช่วงแรกดิฉันจะขอแนะนำประวัติของวิทยากรโดยสังเขป
ท่านแรกคือท่านอาจารย์ธิดา ซึ่งเรารู้จักกันในนามคุณครูหวาน
แห่งโรงเรียนเพลินพัฒนา กรุงเทพ สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้
ว่ามีโรงเรียนหนึ่ง มีปรัชญา มีกระบวนการเรียนรู้ผ่านกระบวนการ
สร้างปฏิสัมพันธ์ ซึ่งกระบวนการสร้างปฏิสัมพันธ์มีหลายระดับ
ตั้งแต่ ครู นักเรียนและชุมชน คุณครูหวานของดิฉัน
เมื่อดู profile แล้วแล้วรู้สึกประทับใจ ท่านจบในระดับบัณฑิต ศึกษาถึง
3 ศาสตร์ ศาสตร์แรกท่านจบพฤกษศาสตร์ ศาสตร์ที่สองท่านจบปฐมวัย
และศาสตร์สุดท้ายท่านจบบริหารการ ศึกษา
และจบการศึกษาระดับมหาบัณฑิตด้านบริหารการศึกษาและแนะแนว
เพราะฉะนั้นความหลากหลาย เป็นความงดงาม
อยู่ในธรรมชาติก็มีความงดงาม
อยู่ในคนก็มีความงดงามเช่นนั้นนี่เป็นความประทับใจ อาจารย์มี
motto ที่ดิฉันจะเอาไปขายบอกว่า สังคมดี ไม่มีขาย
อยากได้ต้องช่วยกันสร้าง เพราะฉะนั้น
เรามาดูกันนะคะว่าสังคมนี้มีอะไรดีบ้างในบทบาทของอาจารย์ในการสร้าง
ขอกราบเรียนเชิญค่ะ
อาจารย์ธิดา
พิทักษ์สินสุข: โรงเรียนเพลินพัฒนา กรุงเทพ
สวัสดีคณาจารย์
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และท่านผู้ดำเนินรายการ
วันนี้คงมีจากหลายกลุ่ม วันนี้ก็จะมาเล่าเรื่อง
การเล่าเรื่องนี้เหตุการณ์อื่นก็คงเหมือนกันเพราะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ
ที่นี้ทำความรู้จักกับโรงเรียนนิดหนึ่งนะคะ
โดยความมุ่งมั่นของโรงเรียนความตั้งใจของคณะผู้บริหารและคณะครูของเรา
ค่อนข้างจะสอดคล้องกับองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้
เพราะว่าโดยอุดมการณ์ของเรา
เราบอกว่าโรงเรียนเพลินพัฒนาจะเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ผ่านองค์กรทางวัฒนธรรม
เป็นองค์กรที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้กับคนในองค์กรของเรา
เราจัดการความรู้อย่างไร เรามีการกำหนดป้าหมายหรือว่าวิสัยทัศน์ของเรา
การกำหนดเป้าหมายเราจะมีสามแง่มุม ในเรื่องของการงาน
คือผลของงานที่จะเกิดขึ้น คือเรื่องของคนและพัฒนาองค์กรไปด้วย
เพราะเราต้องการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเป้าหมายที่จะทำให้เกิดผลงานเท่านั้น
แต่กระบวนการที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เพื่อยกระดับความรู้ของผู้คนในองค์กรของเรา
และชุมชน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตรงนี้คือหัวใจ ในฐานะที่เป็น
CKO เราจัดการอย่างไรให้ผู้คนของเรา
องค์กรของเราเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และทำอย่างไรที่เราจะคัดกรองความรู้เลือกสรรจากภายนอกเข้ามาและเกิดการเรียนรู้อีก
จากนั้นแล้วจากความรู้ที่เราได้มาเราจะตกผลึกอย่างไร
และให้เกิดขึ้นคลังความรู้
และคลังความรู้ที่เกิดขึ้นจะย้อนกลับไปอย่างไรที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่ชุมชนของเราอีก
ในฐานะที่เป็น CKO เรามองถึงวิสัยทัศน์
เรามองไปถึงผังโครงสร้างขององค์กรเอื้อต่อการเรียนรู้หรือไม่
ในส่วนของโรงเรียนเราจะจัดแบ่งงานเป็น
สามด้านด้วยกันเพื่อเอื้อกับการจัดการความรู้
ส่วนงานการบริหารจัดการทั่วไป
จะเกี่ยวกับการบริหารความรู้กับผู้ปกครอง
ส่วนงานบริการจัดการที่โรงเรียนเกี่ยวกับการจัดการความรู้ของนักเรียนของครู
งานที่สามคือด้านพัฒนาการศึกษา
กลุ่มงานนี้เป็นงานที่สำคัญจะเกี่ยวข้องกับคลังความรู้ที่เกิดขึ้น
โดยที่แต่ละส่วนมักจะทำงานของตนและทำงานที่เกี่ยวพันกันทั้งหมดไม่มีการแยกส่วนกันเพราะจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นฐานสำคัญ
เช่น หน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญ
หน่วยงานสำคัญหน่วยงานหนึ่งที่ช่วยการถ่ายโอนความรู้และการสะสมคลังความรู้
ส่วนงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ก็จะเป็นงานที่เกี่ยวพันกับผู้ปกครอง
ในส่วนของโรงเรียนโครงสร้างของโรงเรียนได้แบ่งโรงเรียนเล็กในโรงเรียนใหญ่
หมายความว่า ในแต่ละโรงเรียนจะมีครูใหญ่ สำนักงานธุรการของตนเอง
ทำไมต้องมีโรงเรียนเล็กในโรงเรียนใหญ่
นอกจากเป็นเรื่องของการกระจายอำนาจแล้ว
ยังเป็นเรื่องสำคัญแต่ละช่วงชั้นจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
แล้วข้ามช่วงชั้น แล้วข้ามหน่วยงาน
การที่เราแบ่งโรงเรียนใหญ่ให้เป็นโรงเรียนเล็กทำให้การจัดการความรู้ถึงหน่วยย่อยทุกหน่วยได้มากที่สุด
ส่วนฝ่ายพัฒนาการศึกษาเรามีหน่วยงานวิจัยและพัฒนาเป็นหน่วยงานที่กลั่นกรอง
สร้างและพัฒนาองค์ความรู้
เพราะฉะนั้นโรงเรียนจัดการทำงานทุกส่วนงานของเราเป็นงานวิจัยและพัฒนาที่สร้างและเรียนรู้การทำงาน
แต่เราจะวิจัยกับงานไม่ได้เป็นหน่วยงานที่แยกออกไป
ส่วนงานที่สอง
เป็นหน่วยงานประมวลและจัดการความรู้ที่มีอยู่ที่เกี่ยวพันกับงาน
KM หลังจากที่เรากำหนดวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ในการจัดการ
เราต้องทำขั้นตอนที่สอง การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้คือ KS
knowledge sharing ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญเพราะมีวิสัยทัศน์
มีอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่มีกระบวนการตรงนี้ ก็ยากที่จะเกิด
KM
ในการประชุมมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหลายส่วนของโรงเรียนในแนวระนาบ
เช่น ชั้น ป.1,2,3,4 มีการประชุมกัน
ขณะเดียวกันสายงานวิชาก็มีการประชุมกันอีก
ถึงการประชุมที่เล็กคือการประชุมที่คู่กับผู้เรียน
การประชุมนี้ต้องสะสมความรู้ ครูจะมีการบันทึก ในทุกระดับ
ความรู้จะเอาไปยกระดับความรู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่ได้เอาไป
พัฒนาการเรียนการสอน สื่อการสอน เอาไปพัฒนากระบวนการเรียนของเขา
กระบวนการทำงานของผู้สอน จะทำงานอยู่ที่กระบวนการวิจัยของเขา
การทำงานของเขาจะมีการวิเคราะห์ผลงานของเขาตลอดเวลา
ดังนั้นความรู้งานวิจัยจะอยู่ในตัวเขาตลอดไป ที่นี้ความรู้
ที่สำคัญต้องสังเคราะห์และวิเคราะห์
ทำอย่างไรที่ความรู้จะอยู่ในองค์กร ครูทุกคนจะทำงานบน intranet
ที่นี้ความรู้ก็จะเป็นความรู้ส่วนกลางที่ครูจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนางานของตนแล้ว
นอกจากนั้นจะมีการเรียนรู้ต่อเนื่อง จากครูสู่ผู้ปกครองด้วย
เป็นการจัดกิจกรรมเป็นการเสวนา
ให้ผู้ปกครองทำความเข้าใจว่าครูจะมีการสอนลูกเขาอย่างไร
กลุ่มผู้ปกครองจะมีการจัดการความรู้อย่างไร
พ่อแม่จะมีกิจกรรมหนึ่งที่น่ารักมาก คือเขาจะรวมตัวกัน
ตอนนี้มีครบเกือบทุกห้องแล้ว อย่างคุณแม่ท่านนี้
ท่านเก่งเรื่องของโภชนาการอาหาร มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และมีการบันทึก
ส่วนเด็กมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประมวลความรู้ลงไปในสมุดประมวลความรู้
และเขาจะถ่าย ทอดความรู้อย่างไร
เพราะสมุดประมวลความรู้นั้นเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวัยของเขาที่จะสร้างตำราที่เขาสามารถทำได้
ส่วนที่สามด้านที่จัดระบบโครงสร้างที่เกี่ยวกับความรู้
อันนี้หมายถึงความรู้ที่หลั่งไหลจากภายนอกแล้ว
ความรู้ที่เราแลกเปลี่ยนนี้
วิทยากรภายนอกเราหมายถึงผู้ปกครองของเราที่อยู่นอกโรงเรียน
ชุมชนที่อยู่รอบข้าง เราอยู่ข้างสวนผัก
เราจะมีลุงชวนที่เป็นผู้นำหมู่บ้านผู้นำชุมชน
ลุงชวนมีความสามารถในการทำสวนเกษตรอินทรีย์ สวนเพียงตน
คุณเอนก นาวิกมูล มีพิพิธภัณฑ์เด็กอยู่ใกล้โรงเรียน
นอกจากนั้นเรายังมีวิทยากรภายนอกรวมถึงวิทยากรจากต่างประเทศ
ที่นี้เราจะจัดการความรู้ตรงนี้อย่างไร
แค่อบรมความรู้ตกอยู่กับตน ทำเอกสารเป็นความรู้อย่างหนึ่ง
จัดบันทึกวีดีโอก็เป็นกระบวนการที่เราจัดการความรู้อย่างหนึ่ง
ที่นี้เราจะสร้างขุมความรู้อย่างไร ตอนนี้เรากำลังพัฒนา
เรามีหน่วยงานที่จะช่วยเก็บรวบรวมให้เกิดคลัง ทั้งจัด เก็บ
ค้นหา จัดเก็บ ความรู้จะเข้าไปอยู่หน่วยงาน ก็จะมีระบบ intranet
ที่จะช่วยในเรื่องของการสะสมความรู้และมีหน่วยงานที่ช่วย
search
สุดท้ายเราก็หวังว่าเราจะพัฒนาโรงเรียนให้ได้ตามเป้าหมาย
ในการพัฒนาโรงเรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ผ่านทางวัฒนธรรม
เราทำให้โรงเรียนเราเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ขณะเดียวกัน
ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ก็เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้อีก
แล้วเราก็มีการขยายวงไปสู่เครือข่ายภายนอกซึ่งเป็นชุมชนของเราเอง
เราเคยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับโรงเรียนต่างจังหวัด
คือโรงเรียนลำปลายมาศ
เพราะเขาก็มีสิ่งที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเรา
ในฐานะที่เป็น
CKO เราคงให้ความสำคัญกับสี่เรื่องเป็นหลัก
เพื่อว่าความรู้ที่เกิดขึ้นมันเกิดเป็นตัวความรู้
และความรู้ก็ไหลเวียนไป ถ้าความรู้ที่เกิดขึ้นไหลเวียนไป
มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่มีทั้ง 4 ข้อนี้
ต้องส่งเสริมวัฒนธรรมให้ผู้คนมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
มีบรรยากาศที่เขากล้าแสดงความคิดเห็น ออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขา
เพราะฉะนั้นบรรยากาศที่สำคัญคือ
บรรยากาศแห่งการไว้เนื้อเชื่อใจกัน
บรรยากาศที่ทำให้คนไม่เสียหน้าถ้าเขาจะเสนอความคิดใหม่ๆ
ตรงนี้สำคัญมากมิฉนั้นจะไม่เกิดการเรียนรู้ CKO
ต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของคน
เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถ เพียงแต่ว่า
เราจะให้โอกาสเขาหรือไม่ ในการพัฒนาศักยภาพของเขา
ต้องทำให้เขาเห็นความก้าวหน้าของเขา
เพราะนี่คือผลตอบแทนของการเรียนรู้ที่ธรรมชาติสร้างมาแล้วให้มนุษย์ทุกคนรักการเรียนรู้
ให้โอกาสเขาได้งอกงาม
เราต้องเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพและต้องเชื่อว่าราทุกคนพัฒนาได้
เชื่อว่าทุกท่านที่ทำหน้าที่เป็น
CKOทุกคนคงจะเชื่อมั่นในแบบเดียวกันกับที่คุณครูหวานเชื่อว่าสิ่งที่
CKO ต้องให้ความสำคัญคือทั้ง 4 ข้อนี้เป็นรากฐานที่สำคัญ
ขอบพระคุณ
มีต่อ
ไม่มีความเห็น