หลักของวิทยาศาสตร์กับมนุษยศาสตร์ การวิจัยเป็นเครื่องมือในการศึกษา 3 ลักษณะคือ
วิทยาศาสตร์มองโลกวิทยาการในลักษณะถอยห่างออกไปจากภายนอก ทำใจให้ว่าง
คิดให้ถ่องแท้ ตัดอคติและสิ่งบิดเบี้ยวออก วัดให้แม่นตรง ทดลองให้ประจักษ์ เน้นกฎเกณฑ์ร่วม/ความเหมือน เพื่อหากฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ส่วนมนุษยศาสตร์มองโลกวิทยาการในลักษณะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ข้างใน รู้สึกด้วยใจ วัดด้วยอารมณ์ ใช้คติของตนเอง ตั้งเกณฑ์ของสังคม ไม่เน้นความคงที่ รับเกณฑ์ที่แตกต่าง หลากหลาย เพื่อตั้งเกณฑ์ของมนุษย์ขึ้นเอง
เมื่อมนุษย์ทราบกฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วยพลังวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นพลังแรกที่ทำให้มนุษย์มีพลังที่ชนะธรรมชาติ พลังที่สองคือ พลังการจัดการ และพลังที่สามคือพลังเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (ICT) เมื่อพลังทั้งสามมารวมกันเข้าจะเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เกิดเป็น Knowledge – Based Economy และ Knowledge – Driven Economy การแข่งขันทางธุรกิจต่อไปจะแข่งขันกันด้วยความรู้ สังคมเกิดความแตกต่างกันเพราะคนในสังคมมีความรู้ที่แตกต่างกัน เกิดเป็นสังคมความรู้ขึ้น สังคมความรู้แบ่งเป็น 2 ยุค ดังนี้
สังคมความรู้ยุคที่ 1 เป็นสังคมความรู้ที่มีพลังและอำนาจอยู่ด้วยกัน เกิดการผลิต (Productivity) มีความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) กลไกตลาด (Market Mechanism) และความอยู่รอด (Survival of the Fittest) นักวิชาการ/นักวิชาชีพ มีบทบาทหลักในการจัดการความรู้ ใช้พลังของความรู้ มีความเป็นมืออาชีพ
การจัดการความรู้ หรือการพัฒนาความรู้ (Knowledge Management) แบ่งเป็น
1. Knowledge Access คือ การเข้าถึงความรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การเข้าถึงความรู้ทาง
Internet หรือ ICT Connectivity ต่าง ๆ ต้องประกอบไปด้วยความสามารถในการเข้าถึงความรู้ ความใฝ่รู้ เวลาในการหาความรู้ และการทำความรู้ให้ใช้ได้ง่าย
2. Knowledge Validation คือ การประเมินความถูกต้องของความรู้ ความรู้มีทั้งของจริง
และของหลอก ดังนั้น จึงต้องมีการประเมินความถูกต้องของความรู้ การวิจัยเป็นเครื่องมือที่จะบอกว่าความรู้นั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องตามกระบวนการน่าจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้ต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา งานวิจัยที่ดีจะต้องเป็นผลงานวิจัยหลาย ๆ งานวิจัยที่ได้ผลตรงกันถึงจะเชื่อถือได้ เรียกว่า Systematic Review หรือ Meta Analysis ซึ่งสังเคราะห์ข้อมูลมาจากหลาย ๆ แหล่ง
3. Knowledge Valuation คือ การตีค่า/การตีความรู้ ใช้ความรู้นั้นแล้วคุ้มค่าหรือไม่ ความรู้
ที่มีหลักฐานถูกต้องตามหลักวิชาการแต่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้เนื่องจาก
Ø ไม่คุ้มค่า ราคาแพงเกินกว่าผลประโยชน์
Ø ใช้สำหรับสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือฟุ่มเฟือย
Ø ปฏิบัติจริงได้ยาก ขาดสิ่งจำเป็น
Ø ขัดกับความคิด ความเชื่อ หรือวัฒนธรรม
Ø ไม่สร้างความยุติธรรม และศักดิ์ศรีมนุษย์
4. Knowledge Optimization คือ การทำความรู้ให้ง่ายที่จะใช้ การนำความรู้ออกมาเป็นกฎ
เกณฑ์ ระเบียบต่าง ๆ ต้องมีพื้นฐานมาจากความรู้ เช่น การทำคู่มือต่าง ๆ
5. Knowledge Dissemination คือ การกระจายความรู้ ปัจจุบันความรู้เป็นสมบัติ
สาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนที่จะเข้าถึงความรู้ ฉะนั้นต้องเปลี่ยนจากการที่ครูเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เป็นนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ และทำให้เกิด Public Information หรือ Public Education ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การวิจัยหรือความรู้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างพลังที่นำไปสู่ Empowerment จากเดิมความรู้ที่เป็นของนักวิชาการกลายเป็นความรู้เป็นของสาธารณะ ความรู้ไม่ได้มีไว้ใช้เพียงอย่างเดียว แต่ความรู้นำมา
สร้างเป็นพลังได้ Edutainment เป็นการศึกษาที่มีวิธีการเรียนการสอนที่สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ มีความเพลิดเพลิน และการศึกษาเป็นของสนุก Knowledge Brokering (นายหน้าความรู้) ความรู้เป็นสินค้าที่ต้องมีกระบวน การจัดการ นักวิชาการเป็นเพียง Knowledge Broker ทำความรู้ให้เกิดประโยชน์ขึ้น
1. วิจัยเพื่อรู้เท่าทันความรู้ เข้าถึง ใฝ่รู้ ประเมินได้ วิจารณญาณได้ (ปัญญา)
2. วิจัยเพื่อให้สามารถย่อยความรู้ (นายหน้าความรู้)
3. วิจัยเพื่อสร้างความรู้ (นักวิชาการ/นักวิชาชีพ)
ประเภทของความรู้
1. ความรู้ที่พิสูจน์แล้วตามหลักวิทยาศาสตร์ (Explicit Knowledge)
2. ความรู้เฉพาะกรณี (Situation – Specific Knowledge)
3. ความรู้ที่เกิดจากการกระทำ (Implicit/Tacit Knowledge)
ความรู้ที่มาจาก Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่มาจากการทบทวนวรรณกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความรู้เท่านั้น ถ้าจะให้ได้ความรู้ที่ดีกว่าเดิมต้องเป็นความรู้ที่เกิดจากการใช้งานการกระทำ ซึ่งเป็นความรู้เฉพาะบุคคลที่มาจากคนหลาย ๆ คน เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม และนำไปสู่ความรู้ใหม่ ความรู้ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ต้องพิสูจน์ เป็นความรู้จากการสุมหัว นำไปสู่ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ความรู้จากการกระทำ (Implicit/Tacit Knowledge /Mundane Sciences) เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ได้แก่ ภูมิปัญญาท้องถิ่น/ภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่ได้รับการสั่งสมมาเป็นเวลาแรมปี เกิดเป็นความรู้ใหม่ขึ้น
กระบวนการการจัดการความรู้ (Knowledge Management) นำไปสู่ Empowerment ขององค์กรนั้น องค์กรเกิดการปรับตัวตามประสบการณ์ที่เกิดนั้นกลายเป็น Learning Organization สังคมความรู้ ยุคที่ 2 เป็นสังคมความรู้แบบพอเพียง สมดุล บูรณาการ (ความยั่งยืน) ประชาชนและทุกภาคส่วนมีบทบาทในการร่วมกันเป็นเจ้าของ และเป็นผู้ใช้ความรู้ให้เป็นพลัง มีความเป็นอิสระ และพึ่งตนเอง นักวิชาการ/นักวิชาชีพมีบทบาทเป็น Knowledge Broker ทำให้เกิดเป็นวิจัยแบบบูรณาการที่ผลงานวิจัยย่อย ๆ หลาย ๆงานวิจัยรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาวิจัยย่อยและปัญหาใหญ่แบบครบวงจร
ที่มา www.stou.ac.th
ไม่มีความเห็น