อาทิตย์ที่ผ่านมา....ต้องถือเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่พวกเราและเพื่อนๆที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จาก ร.พ.วิเชียรบุรีและ ร.พ. พุทธชินราชพิษณุโลก ได้รับความรู้เพิ่มเติมดีๆจากคุณหมอ วรวิทย์ กิตติภูมิ แพทย์ในทีมเบาหวานของเราเรื่องของการประเมินสภาวะความอ้วนจากวิธีการวัดค่าต่างๆเกี่ยวกับร่างกาย ( ARTHOPOMETRIC INDEX ) เช่น BMI WAIST-HIP ratio การวัดรอบเอวหรือรอบสะโพก เป็นต้น คุณหมอบอกว่าเป็นการประเมินสภาพร่างกายได้ส่วนหนึ่ง แต่การจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์จริงต้องมีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ซึ่งปกติเราจะพบคนอ้วน 2 แบบ คือ
1. แบบ TOTAL OBISITY กลุ่มอ้วนทั้งตัวมักพบในคนยุโรป ซึ่งไขมันจะกระจายทั่วทุกส่วนของร่างกาย จากงานวิจัยพบว่าอ้วนลักษณะนี้ยังไม่มีผลมากกับ cardiovascularที่เกิดขึ้น ซึ่งเครื่องมือที่ดีในการใช้วัดความอ้วนก็คือ BMI , WAIST-HIP ratio ,TOTAL BODY SCAN พบว่าเครื่องมือทั้ง3แบบมีความสัมพันธ์ให้ผลไปในทางเดียวกัน คุณหมอยังเสริมอีกว่าในการวัดBMI ค่าที่จะใช้แปลผลต้องคำนึงถึงเชื้อชาติด้วย คนยุโรปต่างกับคนเอเชีย
2. แบบ CENTRAL OBISITY กล่มอ้วนลงพุงพบมากในคนเอเชีย เกิดจากมีไขมันสะสมที่บริเวณหน้าท้อง( INTRAABDOMINAL / VISCERAL FAT ) มากกว่าใต้ผิวหนังและที่อื่นๆ
จากงานวิจัยพบว่าอ้วนลักษณะนี้ถือเป็น high risk ต่อ cardiovascular ทำให้เสียชีวิตได้มากกว่า พบว่าเครื่องมือที่ดีในการใช้วัดความอ้วนแบบนี้ก็คือ สายวัดค่ะ แค่นำมาวัดรอบเอวแบบติดเนื้อไม่แขม่วท้องในท่ายืนตรงสบายๆหายใจปกติ หลายคนในห้องถามว่าตำแหน่งที่ถูกต้องอยู่ตรงไหน บางคนพุงห้อยลงไม่เท่ากัน
คุณหมอบอกว่าให้กึ่งกลางระหว่างซี่โครงซี่ล่างสุดกับ iliac crest ค่ามาตรฐานคนปกติคือ ผู้ชาย ไม่เกิน 36 นิ้ว หรือ 90 ซ.ม. ผู้หญิงไม่เกิน 32 นิ้ว หรือ 80 ซ.ม.
จึงควรระวังให้มากโดยเฉพาะคนที่ทั่วไปผอมแต่มีเอวใหญ่อย่างเดียว (ยกเว้นคนท้องนะคะเพราะแกมีเด็ก ) พวกที่ชอบมีน้องยุ้ยที่ชื่อจริงว่า คุณไขมัน น่ะค่ะั
ยุวดี มหาชัยราชัน