เช้าวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความตั้งใจว่าจะไปเข้าแถว แต่จู่ๆ
ขณะที่แต่งตัวเสร็จแล้ว
ฉันก็วูบไปคล้ายกับคนที่รู้สึกหมดแรงแล้วก็ล้มตัวลงวูบไป
ฉันตื่นขึ้นมาก็รีบไปเซ็นชื่อฉันกลับได้ยินข่าวที่น่าเสียใจว่า
“สุนัขของฉันตายเสียแล้ว”
โดยปกติแล้วตอนเช้าถ้าฉันไปเข้าแถวมันจะตามไปด้วย
ฉันก็ไม่อยากจะสร้างนิสัยนี้ให้กับมันมากนักแต่เป็นเพราะตอนเล็กๆ
มันตามฉันมาจากที่ตึก เขาเป็นสุนัขขี้เรื้อนตัวเล็กๆ
ที่มีคนเอามาปล่อยทิ้งไว้ที่ตึกอำนวยการ
ฉันให้อาหารเขาที่ตึกอยู่อาทิตย์กว่าๆ
วันหนึ่งฉันก็ก็ถามเขาว่า”จะไปอยู่ด้วยกันไหม”
จากนั้นเขาก็เดินตามฉันกลับมาที่บ้าน ฉันตั้งชื่อให้เขาว่าวิลลี่
แต่ช่วงนั้นกระแสทองแดงกำลังแรง เพื่อนๆ
ที่ทำงานเห็นว่าเขาเป็นขี้เรื้อนจึงตั้งชื่อให้ว่าทองเรื้อน
จากนั้นเขาก็วิ่งไปวิ่งมาทั่ววิทยาลัยตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา
ฉันเคยคุยกับนักเรียนในชั้นเรียนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน
นักเรียนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สุนัข”
เป็นปัญหามากทั้งในหอพัก ที่โรงอาหาร
เพราะมันมีคนเอามาปล่อยและออกลูกออกหลานเต็มไปหมด เด็กๆ
เสนอวิธีการแก้ปัญหาหลายวิธีการแต่มีเพียง 1 คนในห้องเท่านั้น
ที่จะบอกว่าให้เอายาเบื่อให้กินซะ
แต่พอเพื่อนบอกว่าถ้าเอ็งเอาให้กินเอ็งเก็บศพมันด้วยนะ
คนที่เสนอความคิดก็จะบอกว่าไม่เอา
ปัญหาสุนัขเป็นปัญหาใหญ่ของวิทยาลัย
แต่การที่ผู้บริหารจะจัดการกับปัญหานี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่เด็กนักเรียนคิด
เพราะเขาคงไม่ไปเก็บศพสุนัขเหล่านั้นเอง
แต่การสั่งการของผู้บริหารมีปัญหามากในครั้งนี้
เพราะหลังจากที่ทองเรื้อนของฉันตายลง ก็มีสุนัขที่มีเจ้าของอีก 4 ตัว
ตายไปด้วยกันในวันนี้ เพราะสุนัข 4 ตัวนี้ มีพฤติกรรมที่ ตรงกัน 3
ตัวคือ ชอบตามเจ้าของไปทั่ววิทยาลัยฯ
และจะชอบเห่าคนที่ขับรถผ่านและวิ่งผ่านหน้าบ้าน
แต่ไม่ได้กัด
การสั่งการของผู้บริหารก็คือให้คนงานเอายาเบื่อไปวาง
โดยไม่มีการกำหนดเป้าหมายของการจัดการ เพราะสุนัขที่ตาย ทั้ง 4 ตัว
มีเจ้าของหมด แต่สุนัขจรจัด อีก 30 ตัวที่อยู่เป็นปัญหาจุดละประมาณ 10
กว่าตัว ที่โรงอาหาร 2 แห่ง ที่หอพักหญิงยังนอนเต็มไปหมด
ไม่ใช่เพราะสุนัขของฉันตายแล้วฉันมากล่าวหา”วิธีการสั่งการ”
ของผู้บริหารหรอกนะ เพียงแต่ว่า”การจัดการ” ไม่เสร็จภารกิจ
และทำให้ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่เช่นเดิม
ฉันได้ข้อคิดจากเรื่องนี้หลายข้อคือ
ไม่มีความเห็น