ศิลาจารึกกับเค้ามูลทางสังคมและวรรณกรรมพม่าในสมัยพุกามอันไพบูลย์
หากว่าจะสืบหากำเนิดของงานเขียนทางวรรณกรรมของพม่า
ก็จะพบได้จากศิลาจารึก(gdykdN0k) อันที่จริง
ศิลาจารึกจัดได้ว่าเป็นรากฐานอันสำคัญของวรรณกรรมพม่าเลยทีเดียว
หากจะพิจารณาศิลาจารึกที่เป็นต้นเค้า
ก็ควรต้องคำนึงถึงพุกามอันไพบูลย์(x68"gdk'Nt0kt)ซึ่งรุ่งเรื่องด้วยศิลาจารึก
และในบรรดาศิลาจารึกพม่าทั้งหลาย คงต้องให้ความสำคัญต่อจารึกมยะเซดี
(e,g09ugdykdN0k) ซึ่งถือว่าเป็นงานร้อยแก้วชิ้นแรกสุดของวรรณกรรมพม่า
จารึกชิ้นนี้เจ้าชายผู้มีพระนามว่าราชกุมาร (ik=d6,kiN)
พระโอรสของพระเจ้าจันสิตตา(dyoN00N,'Nt)ได้ทำขึ้นในศักราช ๔๗๔ (ค.ศ
๑๑๑๒)ในขณะที่พระราชบิดากำลังทรงพระประชวรอยู่
จารึกเป็นข้อความแบบร้อยแก้ว
มีเนื้อหากล่าวถึงเรื่องการหล่อถวายพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่ง
และการถวายข้าทาสและที่ดินจำนวนมาก
ในจารึกหลักนี้ไม่ได้เขียนไว้เป็นภาษาพม่า(r,k)เพียงภาษาเดียวเท่านั้น
หากยังพบว่าได้มีการจารึกอีก ๓ ด้านด้วยภาษาพยู (xy&)
ภาษาบาลี(xj>b) และภาษามอญ(,:oN)
ด้วยเหตุนี้จึงแน่ชัดว่าในสมัยนั้นนอกจากจะมีการใช้ภาษาพม่าแล้ว
ยังมีการใช้ภาษาอื่นๆ คือ ภาษาพยู ภาษาบาลี และภาษามอญด้วย
ในแง่วรรณกรรม จารึกมยะเซดีถือเป็นงานประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุด
จารึกมยะเซดีเป็นการเรียบเรียงด้วยถ้อยคำสั้นๆ แสดงเฉพาะนัยสำคัญ
จากงานชิ้นนี้
นอกจากจะเป็นสิ่งยืนยันว่างานประพันธ์ได้เริ่มขึ้นแล้วในสมัยพุกาม
ยังทำให้ทราบว่าในสมัยนั้นมีการใช้ภาษาอื่นๆด้วย
และหากมองดูสถานะของงานวรรณกรรมพม่าในปัจจุบันก็อาจเข้าใจภาวะเช่นนั้นได้ชัดเจน
คนพม่าปัจจุบัน(ยุคอาณานิยม…ผู้แปล)นั้น นอกจากภาษาพม่าแล้ว
ยังต้องศึกษาเรียนรู้ภาษาอังกฤษอีกด้วย
จึงทำให้ไม่มีเวลาที่จะมาสนใจวรรณกรรมพม่าได้อย่างเต็มที่
จึงเป็นการยากที่จะมีผู้ทุ่มเทสร้างสรรค์วรรณกรรมพม่าโดยเฉพาะ
ทำนองเดียวกัน ในยุคที่มีการเขียนจารึกมยะเซดีนั้น
วรรณกรรมพม่าจึงไม่อาจเจริญได้เต็มที่ก็เพราะยังมีการใช้ภาษาอื่นๆอันหลากหลาย
แต่อย่างไรก็ตามชาวพุกามยุคโบราณยังคงพากเพียรสร้างสรรค์งานด้วยภาษาพม่าอย่างไม่ท้อถอย
ด้วยเหตุนี้
จึงได้พบงานจารึกพม่าแพร่หลายนับแต่จารึกมยะเซดีเป็นลำดับมา
และจากความพยายามฝึกฝนสร้างสรรค์การร้อยเรียงวรรณกรรมของพม่า
จึงช่วยให้วรรณกรรมพม่าค่อยๆเจริญมาโดยลำดับ
ดังจะพบได้จากจารึกที่คู่สามีภรรยาแห่งอนันตสูร์(voOµl^iN)ได้สร้างไว้ในปีศักราช
๕๘๖ (ค.ศ.๑๒๒๔)
สำนวนการเขียนในจารึกดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า
หลังจากจารึกมยะเซดีผ่านไปราว ๑๑๑ ปี
งานวรรณกรรมภาษาพม่าได้เจริญขึ้นมามาก ต่อมาในศักราชที่ ๖๐๔
(ค.ศ.๑๒๔๒)
รูปแบบการประพันธ์ได้พัฒนาไปจากเดิมยิ่งขึ้น
ดังปรากฏในจารึกเฉี่ยนปีงพอธิ(ia'Nx'NgrkTb)
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้คำอุปมาต่างๆ
และจากการอ่านความปรารถนาของบุตรีของสิงฆตู(lbS§l^)ในจารึกวัดอามะหน่า(vk,okgdyk'NtgdykdN0k)
ที่สร้างเมื่อปีศักราช ๖๒๘ (ค.ศ.๑๒๖๖)
ก็จะยิ่งรู้ชัดว่ารูปแบบการเขียนงานได้พัฒนาไปมากแล้ว
ข้อความในจารึกดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงภาวะทางจิตใจของมเหสีผู้ถวายทานนั้นว่า
พระนางปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นได้รับส่วนกุศลจากบุญกิริยาของพระนาง
พร้อมกับเผยภาพของพุทธศาสนิกชนอันแท้ได้จากความปรารถนาการล่วงพ้นจากสังสารวัฏ
เป็นผู้มีจิตใจอันปราศจากโลภะและโมหะ
ทั้งยังปรารถนาที่จะเกื้อกูลผู้อื่น
ตัวตนจึงเป็นพุทธแท้ขณะที่จิตใจก็อ่อนน้อม
อันที่จริงการพรรณนาความรู้สึกนึกคิดด้านในของคนๆหนึ่งให้ผู้อื่นได้ประจักษ์นั้นใช่ว่าจะเขียนได้โดยง่าย
และย่อมยากกว่าการเขียนถึง
เหตุการณ์แบบอัตชีวประวัติ กระนั้นแม้จะเป็นเรื่องยากที่จะเขียน
แต่ก็ได้พบงานเขียนที่กินใจและสื่อความหมายยิ่งในงานจารึกวัดอามะหน่าดังกล่าว
นอกจากนี้ ในด้านหลังของจารึกวัดมีงวาย(,'Nt;6b'Ntgdyk'NtgdykdN0k)
ที่จารึกในศักราช ๖๓๓ (ค.ศ.๑๒๗๑) เป็นเนื้อความสะท้อนไว้ว่า
มเหสีพวาซอ(,bz6ikt4:ktg0k)
กล่าวขอพรที่แสดงให้เห็นภาวะจิตใจที่แตกต่างไปจากบุตรีของสิงฆตูตามกล่าวข้างต้น
อยากจะกล่าวว่าเป็นเรื่องของมานะที่แย้มพรายออกมา
เป็นความปรารถนาที่จะอยู่เหนือผู้อื่นในทุกสถาน
และยังประสงค์จะเป็นยอดมงกุฎแห่งทวยเทพ มีภาพเจือปนของ
“ตัวกู” อันเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา
และถือเป็นสักกายะทิฐิ(ผู้ยึดติดในรูปกาย)และมานะทิฐิ
ดังนั้นจารึกทั้งสองชิ้น ซึ่งเผยสภาพจิตใจของราชินีทั้งสองต่อผู้อ่าน
ได้บอกชัดว่าวรรณกรรมพม่าที่เริ่มมาจากงานจารึกมยะเซดีนั้นค่อยๆเจริญงอกงาม
ในสมัยพุกามอันไพบูลย์ได้มีการสร้างจารึกขึ้นมากมาย
จารึกเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาวรรณกรรมพม่า
หากจะเขียนเรื่องศิลาจารึกให้ละเอียดลออ ก็เกรงว่าจะเป็นการยืดยาว
จากที่ได้กล่าวมาโดยสังเขปนั้น
ก็น่าจะมองออกได้ว่าวรรณกรรมพม่าเจริญมาได้อย่างไร
ศิลาจารึกยังมีประโยชน์ในด้านอื่นนอกเหนือการศึกษาในเชิงวรรณกรรม
การศึกษาจารึกยังอาจช่วยในการคาดคะเนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยพุกามได้เป็นอย่างดี
เป็นต้นว่า ในยุคนั้นเขาปกครองกันอย่างไร
แต่งตั้งคนให้มียศฐาบรรดาศักดิ์กันอย่างไร ทำมาหากินกันอย่างไร
และมีการแบ่งชนชั้นทางสังคมกันอย่างไรบ้าง ดังเช่นจารึก
เลเมียตหน่าพยา(g]t,ydNOak46iktgdykdN0k)
ได้ยืนยันการมีอำมาตย์เสนาบดีตั้งแต่ในยุคนั้น ตามคำจารึกว่า
”,'NtWdut ,99yk,sk glokx9b”
และการแต่งตั้งผู้มีหน้าที่ดูแลที่นา มีกล่าวในจารึกไตชวตพยา
(96b'Nt-:y9N46iktgdykdN0k) ที่กล่าวถึงเรื่อง
ตังเปี่ยง(l"xy'N)และจารึกธัมมะยังจี(T,Ái"WdutgdykdN0k)
ที่กล่าวถึงกลาน(d]koN)
ในคัมภีร์ราชเสวกทีปนี(ik=gl;dmuxoudy,Nt)ของพระอาจารย์มองถ่องสะยาดอ(g,k'Ntg5k'NCikg9kN)
ได้กล่าวถึง กลาน ว่าเป็นอำมาตย์ผู้ปกครองหมู่บ้าน ( กลาน
เป็นคำภาษามอญ หมายถึงผู้ใหญ่บ้าน…ผู้แปล) ส่วนคำว่า ตังเปี่ยง
คืออำมาตย์ผู้ปกครองหมู่บ้านมากกว่า ๑ แห่ง
จึงเป็นที่ชัดเจนว่าในสมัยพุกามได้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไปปกครองหมู่บ้านและจดบันทึกจำนวนที่นาประจำหมู่บ้าน
ซึ่งเรียก กลาน และ ตังเปี่ยง นอกจากนี้
จากจารึกซอระหันเต่ง(g0kisoNtlb,NgdykdN0k)ได้ทราบว่ามีตำแหน่งนายอักษร(0k-yur6b]N)
หากมองถึงการงานของราษฏรในสมัยนั้น จะพบว่ามีอาชีพทำเครื่องเงิน
เครื่องทอง เครื่องทองเหลือง ตลอดจนงานจิตรกรรม งานแกะสลัก
และงานก่อปูนเป็นอาทิ
ดังยืนยันได้จากจารึกเลเมียตหน่าซึ่งพบที่ตำบลเลท่องกั่ง(g]tg5k'NHdoN)ในเมืองพุกาม
จากจารึกชิ้นนี้ได้ประจักษ์ถึงความรุ่งเรืองของการทำเครื่องเงินและเครื่องทอง
และจากคำว่า “=k9N'jtik]PNt v9'NHv9pNgit”
ที่ปรากฏในจารึกเลเมียตหน่านั้น
ช่วยให้ทราบว่าการวาดภาพเขียนสีมีขึ้นแล้วในสมัยพุกาม
นอกจากนี้ยังพบภาพวาดที่มีอายุกว่า ๘๐๐ ปี
ปรากฏอยู่ภายในพระเจดีย์บางองค์ของสมัยพุกาม
และภาพวาดเหล่านี้ก็ยังคงมีตราบจนปัจจุบันอีกทั้งยังพบว่ามีนักดนตรีเบญจดุริยางค์(9^ibpk'jtxjt)
ดังปรากฏชื่อเป็นหลักฐานในจารึกกูนีพยา(d^ou46iktgdykdN0k)
ในจารึกวัดมีงวาย พบบัญชีการบริจาคทาน
ในบัญชีฉบับนี้บันทึกว่า…ใบลานปิดทอง ๘ แผ่น ผูกร้อยด้วยดิ้นทอง…
และทราบว่ามีการใช้คัมภีร์ทำด้วยไม้เขียนสี
ในจารึกยังมีเรื่องของที่นา
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ผิดที่จะกล่าวว่ามีผู้คนหาเลี้ยงชีพด้วยการทำนา
ยามที่สร้างพระเจดีย์หรือวัดเสร็จ
ผู้สร้างเจดีย์จะถวายทาสชายหญิงที่เคยเป็นทาสจากการมีหนี้สินให้กับศาสนา
ข้าทาสเหล่านี้จึงกลายเป็นข้าเจดีย์(46iktd:yoN)
ข้าวัด(gdyk'NtdyoN) และข้าพระไตรปิฎก(xbDd9NdyoN)
และพวกลูกหลานของข้าทาสเหล่านั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการเป็นข้าทาสไปได้
ทำให้ทราบว่าสมัยพุกามนั้นไม่เหมือนกับสมัยนี้
จึงน่าคิดว่าในสมัยนั้นคงมีการจำแนกหมู่ข้าทาสไว้
ในเรื่องเงินที่ผู้คนใช้กันนั้น พบร่องรอยว่าใช้เป็นเงินแท่ง
โดยชั่งตัดแบ่งเป็น ๑ จั๊ต ๒ จั๊ต
ในจารึกเลเมียตหน่าพยาที่อยู่ด้านทิศเหนือของเจดีย์จุฬามณี(0^>k,Ib46ikt)
กล่าวถึงการใช้เงินเทียบน้ำหนักเป็นจั๊ต(dyxN-yboN)
จารึกดังกล่าวได้กล่าวถึงการจ่ายเงินให้แก่ช่างเหล็ก ๔ จั๊ต
และจ่ายให้จิตรกร ๗ จั๊ต
แสดงให้เห็นว่าแม้งานเหล็กต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
แต่ค่าแรงกลับน้อยกว่างานจิตรกรรมซึ่งเป็นงานไม่ต้องออกแรงเท่า
ดังนั้นในด้านการปกครองของสมัยพุกามซึ่งเป็นยุคศิลาจารึกนั้น
มีกษัตริย์เป็นใหญ่ รองมาเป็นเสนาบดี อำมาตย์ เจ้าเมือง ผู้ใหญ่บ้าน
เจ้าที่นา และนายอักษร ซึ่งมีอำนาจลดหลั่นตามลำดับ
ส่วนสามัญชนนั้นประกอบด้วยผู้ประกอบอาชีพเป็นช่างทอง ช่างเงิน
ช่างทองเหลือง จิตรกร นักร้อง นักดนตรี ช่างฟ้อน และชาวนา
ส่วนชนชั้นล่างสุดในสังคม คือ เหล่าข้าเจดีย์ ข้าวัด และข้าพระไตรปิฎก
นั่นเอง
นอกจากนี้ หากมองจารึกในแง่พงศาวดาร (ik=;'N)
จะพบคุณประโยชน์อย่างยิ่ง ในจารึกมยะเซดี
กล่าวถึงพระเจ้าจันสิตตาในพระนาม ตริภุวนาทิตยธมมราชา
(W9b46;okmb9yT,Áik=k) ว่าทรงขึ้นครองบัลลังก์ในพุทธศักราชที่
๑๖๒๘ ซึ่งตรงกับกอส่าศักราช (g8j=klddik=N) ๔๔๖ (ค.ศ.๑๐๘๔)
ปีศักราชการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าจันสิตตานี้ไม่ตรงกับปีศักราชที่ปรากฏในพงศาวดารพม่าซึ่งเขียนขึ้นในภายหลัง
การที่จารึกมยะเซดีเป็นจารึกที่เขียนขึ้นร่วมสมัย
จึงมิง่ายนักที่จะหาหลักฐานอ้างอิงอันน่าเชื่อที่ดีไปกว่านี้ได้
นอกจากนี้เมื่อนำไปเทียบกับพงศาวดารชาตาต่อโป่ง
(=k9kg9kNx6"ik=;'N)ที่บันทึกชะตาของกษัตริย์สมัยก่อนไว้
พบว่าตรงกับศักราชที่บันทึกไว้ในจารึกดังกล่าว
ดังนั้นจากการที่จารึกชิ้นนี้ได้แสดงปีศักราชการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าจันสิตตาไว้อย่างถูกต้อง
จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ศึกษาพงศาวดาร
และเป็นผลเนื่องไปถึงการได้ทราบศักราชสิ้นรัชกาลของพระเจ้าอโนรธา
ไม่เพียงเท่านั้นจากการที่ทราบปีครองราชย์ของพระเจ้าจันสิตตา
ยังช่วยให้ทราบปีขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าอลองซีตู(vg]k'Nt0PNl^)
อีกด้วย
นอกจากนี้ในจารึกมยะเซดียังกล่าวว่าเจ้าชายราชกุมารเป็นราชบุตรของพระเจ้าจันสิตตา
ราชบุตรองค์นี้เป็นบุตรของนางสัมพูละ(l,¾&])ผู้มีนามว่าตริโลกวฏังสกาเทวี
(W9bg]kd;"öldkgm;u)
แม้สัมพูละและราชบุตรจะได้เดินทางออกจากป่ามายังราชธานีพุกาม
แต่เนื่องจากพระเจ้าจันสิตตาได้มอบตำแหน่งอุปราชให้กับอลองซีตูผู้เป็นราชนัดดาไปแล้ว
เจ้าชายราชกุมารผู้เป็นราชบุตรจึงมิอาจขึ้นครองราชบัลลังก์ได้
เหตุเพราะทรงยึดมั่นตามข้อกำหนดที่กษัตริย์ในอดีตถือปฏิบัติต่อๆกันมา
เรื่องที่
พระเจ้าจันสิตตามีราชบุตรจึงมีกล่าวชัดเจนในจารึกมยะเซดี
ในจารึกทิสาปาโมก (mblkxjg,kdNgdykdN0k)
มีหลักฐานเกี่ยวกับพระเจ้าตะโยะปเยมีง(9U69Ngext,'Nt-เจ้าหนีจีน)
ปฏิเสธความเชื่อที่ว่าประเทศพม่าล่มสลายไปเพราะคนจีนได้เข้ามาตีประเทศพม่า
แต่อาจเป็นเพราะเหตุปัจจัยภายในประเทศอย่างใดอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้จากการที่ได้พบว่าทิศาปาโมกนั้นเป็นพระสงฆ์ที่ได้เดินทางไปยังประเทศจีนในฐานะทูต
และยังปฏิบัติภารกิจเพื่อบ้านเมืองเมียนมา
จึงได้ทราบว่าพระสงฆ์ในสมัยก่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องกิจการบ้านเมืองซึ่งเป็นเรื่องทางโลกได้ด้วย
ในจารึกเชยะปวตพยา (g=px:9N46iktgdykdN0k) ได้กล่าวถึงพระเจ้าอุชนา
(f=ok,'Nt) ได้มอบที่ดินให้แก่อำมาตย์เชยะปวต (g=px:9Nv,9N)
ต่อมาอำมาตย์ผู้นี้ได้นำที่ดินดังกล่าวไปบริจาคพระเจดีย์
พอถึงสมัยพระเจ้าจะซวา(dy0:k,'Nt) พระองค์กลับยึดที่ดินนั้น
พระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในวัดนั้นจึงได้ท้วงติงต่อพระเจ้าจะซวาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินบริจาคของพระเจดีย์
พระเจ้าจะซวาจึงให้สืบหาข้อเท็จจริง
และในที่สุดเมื่อรู้แน่จริงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นธรณีสงฆ์จริง
ก็ทรงมอบที่ดินคืนให้แก่วัด จากเรื่องนี้แสดงหลักฐานชัดเจนว่า
พระสงฆ์ในสมัยก่อนมีบารมี(El=k9bd¡,)ค่อนข้างมาก
การที่พระสงฆ์เป็นบุคคลผู้มีบารมีนั้น
เป็นเพราะชาวพุกามมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้งในพระรัตนตรัยอันมี
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
และจากความศรัทธาเช่นนั้นได้ทำให้มีการสร้างพระสถูปเจดีย์กันมากมายสืบมาจนปัจจุบัน
นอกจากนี้จารึกส่วนใหญ่มักจะบันทึกเรื่องราวเกี่ยกับการสร้างพระเจดีย์
จำนวนที่นาและข้าทาสที่บริจาค พรที่ผู้บริจาคประสงค์
ภัยพิบัติที่ผู้ทำลายเจดีย์จะได้รับ และกรรมดีสำหรับผู้ประกอบกุศล
อันที่จริงนอกเหนือเรื่องราวดังกล่าว
หากได้มีการบันทึกเรื่องการกำกับดูแลบ้านเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนให้หลากหลายด้วยแล้ว
ก็จะช่วยให้ผู้ศึกษาศิลาจารึกได้รับทราบเรื่องราวในอดีตได้มากกว่านี้
ในสมัยพุกามอันไพบูลย์จะไม่พบงานประเภทโคลงกลอน หรือ
กาพย์ลีงกา(dryk]d'k)ในศิลาจารึกโดยเฉพาะ
แต่พบกลอนที่คาดกันว่าอาจเขียนในสมัยพุกาม คือ
โปปานัตต่องบ๊วยลีงกา (x6xxkto9Ng9k'N4:ch]d'k)
และกลอนที่แต่งในช่วงปลายยุคพุกามหรือต้นยุคปีงยะ คือ
อนันตสูริยะลีงกา (voOµl^ibp]d'k) กลอน ๒ ชิ้นนี้มิได้จารึกบนศิลา
จึงไม่อาจจะทราบปีศักราชที่เขียนและไม่ง่ายนักที่จะตัดสิน
ส่วนกลอนบทที่ ๒ นั้น
เชื่อกันว่าอาจเขียนในสมัยพระเจ้านรปติซีตู(oix9b0PNl^) ในศักราชที่
๕๓๖ (ค.ศ.๑๑๗๔)
เมื่อตอนที่อำมาตย์อนันตสูริยะซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงของมีงยีงนรสิงขะ(,'NtpfNoilb-')ถูกราชทัณฑ์และเขียนก่อนจะสิ้นชีวิต
ถือเป็นกลอนธรรมะที่น่าจดจำ
บ่งบอกถึงการตระหนักในอนิจจังอันเป็นความไม่จีรังของสังขารและธนสมบัติว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้
ผู้ประพันธ์เขียนในภาวะที่ต้องประสบกับความตาย
แต่กลับสร้างความสะเทือนใจด้วยถ้อยคำเพียงสั้นๆ ในลีงกาซึ่งมี ๔
บทนั้น มีคำขึ้นต้นบทที่แตกต่างกันไป และในตอนจบใช้คำเพียง ๘ คำ
จึงนับได้ว่างานชิ้นนี้เป็นงานประพันธ์แบบลีงกาที่แท้จริง
ส่วนโปปานัตต่องบ๊วยนั้นมีรูปแบบการประพันธ์ที่ต่างไปจากนันตสูริยะลีงกา
เพราะการขึ้นต้นและลงท้ายบทคล้ายคลึงกับรูปแบบการประพันธ์แบบยตุ(i96)
จึงคาดคะเนกันว่าโปปานัตต่องบ๊วยนี้ควรเป็นยดุที่เขียนขึ้นในสมัย(รุ่งเรือง)ของยดุ
แต่ยังมีบางคนเชื่อว่าเป็นงานที่เกิดในสมัยพระเจ้าตีงแหล่จ่อง(glfN]PNgEdk'N,'NtEdut)แห่งพุกาม
เพราะยึดเอาเค้าความของคำที่แทรกในลีงกานั้น
ลีงกาอีกบทคือ มยะกันลีงกา (e,doN]d§k)
แม้จะแสดงความนัยด้วยถ้อยคำสั้นๆ
แต่เพราะมีการแทรกถ้อยคำเช่นร้อยแก้วอย่างที่พบในศิลาจารึก
จึงคาดกันว่าอาจเป็นกลอนที่แต่งในสมันพุกามอันไพบูลย์เช่นกัน
พอกล่าวถึงลีงกาบทนี้ ทำให้น่าคิดถึงเรื่องๆหนึ่ง คือ
ที่ริมหนองน้ำมยะกัน(e,doNd,Ntxjt)เชิงเขาตูยวง(9^tU:'Nt)ในพุกามนั้น
มีจารึกมยะกัน(e,doNgdykdN0k)ตั้งอยู่ ๑ หลัก
เมื่อได้อ่านจารึกมยะกันอันเป็นภาษามอญ(9]6b'Nt)ทั้งสี่ด้าน
ทำให้ทราบว่าบ่อน้ำนี้สร้างโดยพระเจ้าจันสิตตาเพื่อประโยชน์แก่ราษฎร
และได้ให้ชื่อบ่อน้ำนี้ว่า
มหานิพพาน-แล่ะสเวฉี่เหย่(,skobr¾koN]dNgC:-yugi)
ในศักราชที่ ๕๓๖ (ค.ศ.๑๑๗๔)
สมัยพระเจ้านรปติซีตู(oix9b0PNl^,'Nt)แห่งพุกาม
นอกเหนือจากจารึกธรรมวิลาส(T,,;b]klgdykdN0k)
พบว่ามีคัมภีร์ธรรมวิลาสธรรมศาสตร์(T,,;b]klT,,l9N)
ซึ่งอิงมาจากคัมภีร์มนุยีงธรรมศาสตร์(,O6i'NtT,Ál9N)
คำภีร์นี้เขียนขึ้นโดยพระธรรมวิลาสผู้มีฉายาว่าเฉี่ยนสาริบุตตรา(ia'Nlkib
x699ik)
แห่งบ้านปติปปะเธยะ(x9bxxgTpyU:k)ในขณะจำพรรษาอยู่ที่เมืองทะละ
ในการเขียนคำภีร์ธรรมศาสตร์นั้น พระเถระธรรมวิลาสจะไม่แปลเป็นภาษาพม่า
แต่จะเขียนเป็นภาษาบาลี
นักปราชญ์บางท่านจึงเชื่อว่าที่เหลือฉบับแปลภาษาพม่านั้นเป็นเพราะฉบับเดิมที่เป็นภาษาบาลีได้สูญหายไป
แต่หากพระธรรมวิลาสเป็นพระมอญ
หรือแม้มีคัมภีร์ธรรมวิลาสธรรมศาสตร์ฉบับภาษามอญอยู่ก็ตาม
ความเห็นดังกล่าวก็เป็นอันยุติได้ แต่เมื่อดูจากการใช้โวหาร
คะเนได้ว่าคัมภีร์ธรรมวิลาสธรรมศาสตร์ฉบับพม่าเป็นคำภีร์ที่เขียนหลังสมัยพุกามมากทีเดียว
มีคำถามว่าเพราะเหตุใดสมัยพุกามจึงมีงานด้านลีงกาน้อยมาก
และทำไมการสร้างศิลาจารึกจึงไม่เขียนเป็นลีงกา
เขียนลีงกากันไม่ได้หรือไง หรือไม่อยากจะเขียน
เป็นคำถามที่ควรพิเคราะห์ อันที่จริง
ไม่อาจจะสรุปว่าคนในสมัยพุกามนั้นเขียนลีงกาไม่เป็น
หากดูในการใช้คำสัมผัสแบบลีงกาในจารึกของพุกาม เช่น
จารึกปริมมะทีหล่ายเฉี่ยนพยา
(xib,Á5ut]Ab'Nia'N46iktgdykdN0k)
จารึกแลเถ้าก์พยา(]aPNtg5kdN46iktgdykdN0k) และจารึกนาต่องตะพยา
(oktg9k'Nt9xN46iktgdykdN0k) ก็พอจะบ่งบอกความสามารถได้
และหากพิจารณาจากการก่อสร้างพระเจดีย์ต่างๆโดยผู้คนสมัยนั้น อาทิ
พระเจดีย์อานันดาและพระเจดีย์สัพพัญญูอันแข็งแกร่งใหญ่โตโอ่อ่านั้นแล้ว
ย่อมบอกได้ว่าชาวพุกามมีสติปัญญาล้ำเลิศ
แต่อาจเป็นเพราะการเขียนด้วยภาษาพม่ายังอยู่ในระยะเริ่มแตกหน่อ
และแม้จะเขียนลีงกาตามกำลังปัญญาอันล้ำเลิศตามที่ควรจะเป็นได้ก็ตาม
น่าคิดว่าการเขียนแบบร้อยแก้วอาจจะสำคัญกว่าดังที่ประพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม
อีกเหตุผลหนึ่ง
อาจเป็นได้ว่าในสมัยพุกามนั้นได้มีการอัญเชิญพระไตรปิฎกมาจากเมืองสะเทิม
พระพุทธศาสนาจึงมาสู่พุกาม พอพระพุทธศาสนาหยั่งรากลง
ผู้ที่ยึดถือในมิจฉาทิฐิจึงได้พบกับธรรมะอันแท้จริง
พร้อมกับน้อมรับด้วยศรัทธา ดังคำกล่าวที่ว่า
“เสียงเพลาล้อตะหญั่งหญั่ง ผองพุกามเจดีย์”
สะท้อนถึงจำนวนเจดีย์อันมากมายที่ชาวพุกามได้ร่วมกันสร้างขึ้น
และเป็นได้ว่าผู้เคร่งครัดศรัทธาในพุทธศาสนาอาจเห็นว่าหากเขียนลีงกาหรือยะดุ
อันเป็นรูปแบบการประพันธ์เช่นคีตศิลป์แห่งการดีดสีตีเป่านั้นอาจไม่เหมาะควรกับคำสอนของพระพุทธองค์
จึงส่งผลให้งานโคลงกลอนมีน้อย และในการเขียนจารึก
พระสงฆ์มักจะเป็นผู้เขียนเนื้อความให้ช่างสลักคัดลอกลงอีกทอดหนึ่ง
แม้ในปัจจุบันนี้ เมื่อจะมีการสร้างสถูปเจดีย์และวัด
ก็ยังคงไหว้วานพระสงฆ์ช่วยเขียนคำจารึกก่อนให้ช่างสลักบนแผ่นหิน
เหตุเพราะการบริจาคศาสนสถานถือเป็นเรื่องโลกุตระ
และถือว่าพระสงฆ์เป็นผู้รู้แจ้งในเรื่องโลกุตระมากกว่าสามัญชน
ในทำนองเดียวกัน
ในสมัยพุกามอาจเป็นได้ว่าพระสงฆ์มักจะเป็นฝ่ายเรียบเรียง
จึงไม่เขียนเป็นโคลงกลอน ซึ่งถือว่าเป็นงานคีตศิลป์อย่างหนึ่ง
จึงเป็นสาเหตุให้พบงานร้อยแก้วอยู่มากในจารึกแต่แทบหางานลีงกาไม่ได้เลย
หรือคงจะเคยมีการบันทึกไว้บนแผ่นหินหรือบนใบลานมากกว่าที่ได้พบ
แต่เมื่อพุกามอันไพบูลย์ได้ผ่านกาลเวลากว่า ๘๐๐ ปี
อาจทำให้งานวรรณกรรมบางส่วนสูญหายไป
หรืออาจเป็นเพราะชาวพม่าซึ่งชอบการสงคราม
เมื่อมีการชิงบัลลังก์และสับเปลี่ยนกษัตริย์จากการทำศึก
จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งให้งานวรรณกรรมต้องสูญหายไป
(แปลและเรียบเรียงจากประวัติวรรณคดีพม่า เขียนโดย อูเผ่หม่องติง
นักวิชาการชาวพม่าในยุคอาณานิคม …. อรนุช–วิรัช นิยมธรรม
.แปลและเรียบเรียง)