กษัตริย์พม่าที่จะได้รับการกล่าวถึงคุณความดีเป็นพิเศษนั้น มักจะต้องเป็นยอดนักรบและนักปกครองที่ช่วยฟูมฟักราชอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่น สำหรับในสมัยพุกามนั้นมักเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆเพียง ๓ พระองค์ ได้แก่
สารัตถะจากตำราเรียนพม่า
:
อลองซีตู
:
ผู้สร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์แห่งอำนาจและบุญบารมี
กษัตริย์พม่าที่จะได้รับการกล่าวถึงคุณความดีเป็นพิเศษนั้น
มักจะต้องเป็นยอดนักรบและนักปกครองที่ช่วยฟูมฟักราชอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่น
สำหรับในสมัยพุกามนั้นมักเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆเพียง ๓ พระองค์ ได้แก่
พระเจ้าอโนรธาในฐานะผู้สร้างอาณาจักรพุกาม
พระเจ้าจันสิตตาในฐานะผู้ค้ำจุนอาณาจักร และพระเจ้าอลองซีตู หรือ
อลอง-สี่ตู่(vg]k'Nt0PNl^)
ในฐานะผู้ใฝ่พระทัยต่ออาณาจักร
ในกรณีของพระเจ้าอลองซีตูนั้น
แม้จะถูกตำหนิว่าพระองค์มีความลำพองตนและขัดสภาวธรรม ที่ทรงฝืนความชรา
ซ้ำไม่ยอมตั้งรัชทายาท จนเกิดการช่วงชิงราชบัลลังก์ก็ตาม
แต่แบบเรียนพม่าได้กล่าวถึงเรื่องราวของพระองค์ไว้เป็นพิเศษ
เนื่องเพราะพระองค์ทรงสนพระทัยการเสด็จประพาสหัวเมือง
อีกทั้งยังทรงสร้างพุทธเจดีย์ไว้ในหลายที่ที่เสด็จไปถึง ด้วยเหตุนี้
เรื่องของพระเจ้าอลองซีตูจึงมีพื้นที่แทรกอยู่ในแบบเรียนของพม่า
ก็ด้วยทรงเป็นเจดียทายกที่ยิ่งใหญ่
อันที่จริงเรื่องของอลองซีตูที่ว่าด้วยการท่องอาณาจักรเพื่อสร้างเจดีย์ทั่วแผ่นดินนั้น
มีเรื่องเล่าเป็นนิทานพื้นบ้านไว้อย่างพิสดารว่า เจ้ามณีซีตู
(,Ib0PNl^) ซึ่งคืออลองซีตูในพงศาวดาร
เป็นพระราชาที่ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งนัก จนแม้พระอินทร์ต้องยำเกรง
ในเวลาที่พระองค์จะเสด็จประพาสไปทางใดนั้น
จะทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังทิศทางที่จะเสด็จไป(บ้างว่าใช้เส้นหวายชี้ทาง)
ฉับพลันนั้นด้านทิศที่พระองค์ชี้ก็จะกลายเป็นสายน้ำทอดยาวไกลสุดตา
และเมื่อพระองค์เสด็จถึงที่หมายก็จะทรงสร้างเจดีย์ไว้เพื่อการบูชา
นิทานเล่าว่าพระองค์เสด็จไปได้ทั่วแคว้นและทรงสร้างเจดีย์ในทุกที่
จนแม้บนดอยก็ยังมีเจดีย์ปรากฏอยู่
อำนาจวิเศษของพระองค์ทำให้สายน้ำเนรมิตอาจทอดไหลถึงยอดดอยได้
และเมื่อพระองค์เสด็จหวนคืนสายน้ำนั้นก็จะอันตรธานไป
นิทานเรื่องนี้เยาวชนพม่ามักได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่แรกที่ผู้ใหญ่พาไปไหว้เจดีย์ในก่อนวัยเรียนด้วยซ้ำ
นับเป็นนิทานที่สร้างจินตนาการได้อย่างตื่นตาตื่นใจและชวนชื่นชมในพระบารมี
โดยเฉพาะต่อพระราชอำนาจของเจ้ามณีซีตูหรืออลองซีตู
และพระราช-กุศลจากการที่ทรงสร้างเจดีย์ไว้ทั่วแผ่นดิน
ตามพงศาวดารพม่า ได้กล่าวถึงพระเจ้าอลองซีตูไว้ว่า
ทรงเป็นหลานของพระเจ้าจันสิตตา และเป็นเหลนของพระเจ้าอโนรธา
โดยฝ่ายพระบิดาของพระองค์เป็นโอรสเจ้าซอลูผู้เป็นราชบุตรของพระเจ้าอโนรธา
ส่วนฝ่ายพระมารดานั้นเป็นธิดาของพระเจ้าจันสิตตา
พระเจ้าอลองซีตูได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทนับแต่วันประสูติ
ก็ด้วยความปีติของพระเจ้าตาที่ได้หลานแท้ๆที่มีเชื้อสายของพระเจ้าอโนรธาไว้สืบราชบัลลังก์
ตำนานยังกล่าวว่าแรกที่อลองซีตูประสูตินั้น
ทรงร้องไห้งอแงไม่หยุดหย่อน
โหรหลวงทำนายว่าพระองค์เพียงปรารถนาจะทราบว่าอาณาเขตของราชอาณาจักรของพระองค์นั้นกว้างใหญ่สักเพียงใร
พอทูลให้ทรงทราบพระองค์ก็หยุดร้องทันที
ตำนานยังกล่าวว่าพระองค์ร้องนานเสียจนสะดือโปน จึงเรียกว่า
เจ้าสะดือจุ่น (-ydNg9kNiaPN)
นี่คงสะท้อนความใส่ใจอย่างจริงจังในพระราชอาณาเขต
ส่วนเจดีย์อันเป็นอนุสรณ์เหล่านั้นก็คงบ่งบอกถึงพระราชอำนาจและประกาศกุศลบารมีของพระองค์ให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึง
พออลองซีตูขึ้นครองบัลลังก์ในวัย ๒๓ ชันษา (บ้างว่า ๑๘ ชันษา)
พระองค์โปรดการเสด็จประพาสเป็นพิเศษนอกเหนือจากการเดินทางเพื่อทำศึก
ในทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไปถึงก็จะทรงสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์
ดินแดนที่พระองค์เสด็จนั้นมีทั้งแดนใกล้และแดนไกล
และทรงปลูกสร้างศาสนสถานไว้มากจนไม่อาจนับได้ถ้วนทั่ว
และจากการที่พระองค์เสด็จประพาสหัวเมืองอยู่บ่อยๆ
จึงเป็นเหตุให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในราชสำนัก
เหตุเพราะพระองค์ไม่ใส่ใจที่จะแต่งตั้งรัชทายาท
และยังบาดหมางกับราชบุตรของพระองค์เอง คือ มีงฉิ่งซอ(,'Ntia'Ng0k)
จนถึงขั้นเนรเทศ อีกทั้งพระองค์ยังลำพองตนว่าเก่งกล้า
แม้ยามชราก็ยังทรงแสดงศักดาปาฏิหารย์เหนือเหล่าขุนศึก
สุดท้ายราชบุตรนรตูหรือนรสู(oil^)ผู้หวังในราชบังลังก์ได้กระทำปิตุฆาตและสังหารมีงฉิ่งซอผู้มีศักดิ์เป็นพระเชษฐามิให้มีโอกาสในบัลลังก์
ความใส่ใจเฉพาะการเสด็จหัวเมืองและสร้างเจดีย์ของพระเจ้าอลองซีตูจนละเลยปัญหาภายในราชสำนักนั้น
ทำให้อลองซีตูมีข้อด้อยในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม
ชื่อเสียงของพระองค์กลับโดดเด่นในนิทานและตำนานว่าเป็นผู้ปรารถนาเห็นความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในแผ่นดินเมียนมา
ดังที่แบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์พม่าสำหรับชั้น ๓ หน้า ๑๑–๑๒
กล่าวยกย่องพระเจ้าอลองซีตูไว้ดังนี้
“พระเจ้าอลองซีตูเป็นพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยพระปรีชาและน้ำพระทัย
พระองค์ทรงเสด็จทางชลมารคด้วยแพและเรือพระที่นั่งไปยังต่างแดนอยู่บ่อยครั้ง
เพื่อปฏิบัติศาสนกิจและแสวงหาปัญญา
คราเมื่อพระเจ้าอลองซีตูเสด็จประพาสไปยังเกาะสิงหลนั้น
ทรงรับมอบรูปปั้นพระอรหันต์ซึ่งกษัตริย์สิงหลต่างบูชาสืบมา
พอกลับมาถึงพุกามได้ไม่นานพระองค์ก็ทรงเสด็จไปยังเกาะมลายู ณ
เกาะนั้นพระองค์ได้สลักพระพุทธรูปขึ้น ๕ องค์
แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวประทับ ณ
หัวแพพระที่นั่งแล้วเสด็จนิวัตสู่พุกาม จากนั้นทุกคราที่เสด็จประพาส
พระองค์จะอัญเชิญพระพุทธรูป ๕ องค์ประทับ ณ หัวแพพระที่นั่งไปด้วยเสมอ
ครั้งหนึ่งเมื่อเสด็จมาถึงเทือกเขาตะปเย-โหญ่(lgexP6b)ทรงหยุดแพพัก
ณ เชิงเขานั้น แล้วทรงสร้างพระเจดีย์เพื่อเป็นที่บูชาพระพุทธรูป ๕
องค์ และจากการที่ได้ประทับ ณ หัวแพพระที่นั่ง
จึงเรียกพระเจดีย์นี้ว่า
พระเจดีย์ผ่องด่ออู(gzk'Ng9kNFt46ikt-พระหัวแพ)
นอกจากนี้พระเจ้าอลองซีตูยังทรงเสด็จด้วยแพพระที่นั่งไปทั่วพระราชอาณาจักร
พร้อมกับทรงสร้างเจดีย์ผ่องด่ออูในทุกแห่งที่เสด็จไปถึง
จากการที่พระเจ้าอลองซีตูทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง
จึงทรงสร้างสถูปเจดีย์ วัด และพุทธรูป
นอกเหนือจากพระเจดีย์ผ่องด่ออูแล้ว
พระองค์ยังทรงสร้างเจดีย์ที่โดดเด่นอีกหลายองค์ อาทิ
พระเจดีย์สัพพัญญู(lr¾L646ikt)และพระเจดีย์ชเวคูจี(gU8^Wdut46ikt)ที่พุกาม
ตลอดจนพระเจดีย์อญาสีหดอ(vPklusg9k46ikt)ซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านมแล(,]PNU:k)ด้านเหนือของเมืองเจ้าก์มยอง(gEdkdNge,k'Nt1,bh)
พระองค์ยังทรงหล่อระฆังทองเหลืองหนักหนึ่งหมื่นวีส(xbÊk)
๒ ลูกเพื่อถวายพระเจดีย์สัพพัญญูและพระเจดีย์ชเวคูจี
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสร้างศาลาที่พัก(=ixN)
ศาลาราย(9oNgCk'Nt)
และอุโบสถ(lb,Ngdyk'Nt)ไว้อย่างเหลือคณานับ”
พม่าเชื่อว่าเรื่องราวในนิทานพื้นบ้านและตำนานจากพงศาวดารเรื่องนี้มีเค้าความจริง
ด้วยมีเจดีย์ซึ่งมีนามว่า ผ่องด่ออู
เป็นประจักษ์พยาน
ดังพบว่ามีเจดีย์ชื่อเดียวกันนี้อยู่หลายแห่งในประเทศพม่า
ที่เด่นเป็นพิเศษคือ
เจดีย์ผ่องด่ออูที่เมืองทวาย(5kt;pN)ซึ่งอยู่ทางใต้
เจดีย์ผ่องด่ออูที่เมืองมิตถิลา(,b9u¶]k)ซึ่งอยู่ใจกลางประเทศ
และเจดีย์ผ่องด่ออูที่ทะเลสาบอีงเล(v'Ntg]t)ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกในรัฐฉาน
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากพิเคราะห์อีกทาง
การมีเจดีย์ปรากฏนามซ้ำๆในหลายที่นั้น
อาจเป็นด้วยผู้คนมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
จึงได้สร้างเจดีย์ที่ตนศรัทราอยู่เดิมไว้ในถิ่นใหม่เพื่อการรำลึกและสักการะ
ดังนั้นความเชื่อจากตำนานจึงอาจบดบังความเป็นจริงทางสังคม
จนเห็นแต่มายาภาพของผู้นำแบบอุดมคติอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม
การนำเรื่องบุญกิริยาของพระเจ้าอลองซีตูมาบรรจุในแบบเรียนนั้นนับว่าน่าสนใจ
ด้วยมีเป้าหมายปลูกฝังเยาวชนให้ยกย่องผู้นำ
จากการที่เด็กๆพม่ามักได้ยินนิทานเรื่องนี้จากผู้ใหญ่มาก่อน
พอได้อ่านเรื่องจากแบบเรียน
ก็ย่อมเสริมศรัทราต่อการประกอบกุศลของผู้นำที่แสดงอำนาจได้เยี่ยงพระอินทร์
ดังนั้นเจดีย์จึงกลายเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจบารมีของผู้นำ นอกจากนี้
เจดีย์ยังอาจเป็นภาพลักษณ์หรือภารกิจของผู้สร้าง อาทิ
เจดีย์ผ่องด่ออูของอลองซีตูถือเป็นอนุสรณ์ของการเสด็จประพาสหัวเมือง
เจดีย์ธัมมะ-ยังจีของนรสูเป็นอนุสรณ์ของความโหดร้าย
จนในยุคหลังก็ยังนิยมสร้างเจดีย์ประจำสมัย อาทิ
เจดีย์กะบาเอ้(d,Àkgvtg09u)ของอูนุเป็นอนุสรณ์แห่งสันติภาพและการชำระพระไตรปิฎกครั้นกึ่งพุทธกาล
ส่วนมหาวิชยเจดีย์(,sk;b=pg09u)ของอูเนวินถูกมองว่าเป็นเจดีย์แห่งชัยชนะ
แต่ถูกมองว่าเป็นเจดีย์ล้างบาปในมุมมองของผู้ไม่ชอบระบอบเนวิน
และเจดีย์ซแวด่อมยัตเซดีด่อ
(0:pNg9kNe,9Ng09ug9kN)ของพลเอกตันส่วยแห่งรัฐบาลทหารปัจจุบันนั้น
อาจถือเป็นอนุสรณ์แห่งสันติสุขและสมานฉันท์ เป็นต้น
ปัจจุบัน
รัฐบาลทหารพม่าพยายามควบคุมทุกพื้นที่ชายขอบให้กลับมาอยู่ภายใต้อำนาจรัฐอย่างสมบูรณ์
และมีความพยายามที่จะพัฒนาท้องถิ่นต่างๆด้วยการสร้างถนน สะพาน
และอ่างเก็บน้ำ ในการนี้
รัฐบาลยังได้อาศัยองค์เจดีย์เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและสันติภาพไปด้วย
ดังนั้นในทุกพื้นที่ที่รัฐเข้าไปพัฒนาจึงมีการสร้างเจดีย์ใหม่หรือบูรณะเจดีย์เก่าอยู่เสมอ
การสร้างและบูรณะเจดีย์ไปทั่วประเทศโดยรัฐบาลทหารในยุคปัจจุบันนั้น
ก็คงด้วยความตั้งใจที่จะอาศัยขนบประเพณีโบราณเพื่อแสดงอำนาจรัฐและสันติสุข
พร้อมไปกับการประกาศบุญบารมีของผู้นำที่ปกครองประเทศอยู่ในขณะนี้
ดังนั้น ภาพของถนนหนทางและสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่สร้างขึ้นใหม่
ซึ่งรัฐบาลมักกล่าวว่าดุจเนรมิตอย่างที่ไม่เคยปรากฏในอดีตนั้น
จึงมักมีการสร้างหรือบูรณะเจดีย์เป็นหลักหมายรวมอยู่ด้วย
ดูจะสอดคล้องกับเรื่องราวในนิทานเจดีย์ผ่อง-ด่ออูที่พระเจ้าอลองซีตูทรงเนรมิตสายน้ำนำทาง
เพื่อเสด็จสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งอำนาจและบุญบารมี
วิรัช
นิยมธรรม