จารึกราชกุมาร เป็นศิลาจารึกภาษาพม่าหลักแรก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๑๑๒ แต่งโดยเจ้าชายราชกุมาร ผู้เป็นราชบุตรของพระเจ้าจันสิตตากับพระนางสัมภูละ
สารัตถะจากตำราเรียน
:
ราชกุมาร :
เจ้าชายยอดกตัญญูจากปฐมศิลาจารึกภาษาพม่า
จารึกราชกุมาร
เป็นศิลาจารึกภาษาพม่าหลักแรก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๑๑๒
แต่งโดยเจ้าชายราชกุมาร
ผู้เป็นราชบุตรของพระเจ้าจันสิตตากับพระนางสัมภูละ
จารึกหลักนี้เป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งทางประวัติศาสตร์ สังคม
วรรณกรรม และภาษาพม่ายุคโบราณ
พม่าใช้หลักฐานชิ้นนี้ยืนยันปีขึ้นครองราชย์ของต้นราชวงศ์อโนรธาที่ปกครองอาณาจักรพุกาม,
ใช้ยืนยันถึงศรัทธาและค่านิยมของราชนิกุลแห่งราชสำนักพุกามต่อพุทธศาสนา,
ใช้ยืนยันความเก่าแก่ทางวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วของพม่า,
ช่วยให้สามารถไขปริศนาภาษาของชนพื้นเมืองชาวปยูที่สาบสูญ
เพราะจารึกมยะเซดีหลักนี้เป็นจารึก ๔ ภาษา คือ มอญ พม่า บาลี และปยู
อีกทั้งยังสะท้อนถึงความหลากหลายทางชนชาติของชาวพุกามที่มีพุทธศาสนาเป็นแกนร่วมทางวัฒนธรรมอีกด้วย
ตามเรื่องราวจากพงศาวดารพม่า
กล่าวถึงเจ้าชายราชกุมารว่าเป็นโอรสของพระเจ้าจันสิตตาอันเกิดจากนางสัมภูละผู้เคยอุปการะพระองค์คราเมื่อครั้งหนีราชภัย
พอเมื่อจันสิตตาขึ้นครองราชย์ พระนางสัมภูละจึงได้พาโอรสวัย ๗
ชันษามามาถวายต่อพระองค์ แต่ก็ล่าช้า
เพราะพระเจ้าจันสิตตาทรงมอบตำแหน่งอุปราชให้กับพระราชนัดดาไปแล้ว
ราชกุมารจึงได้รับแต่งตั้งเพียงในตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้น
จากนั้นพงศาวดารก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวของราชบุตรองค์นี้อีก
ส่วนจารึกซึ่งปรากฏนามว่าราชกุมารเป็นผู้แต่งขึ้นในปลายรัชสมัยพระเจ้าจันสิตตานั้น
ได้เผยเจตนาและฐานะของเจ้าชายราชกุมารให้เห็นอีกครั้ง
เนื้อความในจารึกนั้นเป็นคำกัลปนาของราชกุมารที่อุทิศต่อพระเจ้าจันสิตตา
มีความยาว ๓๙ บรรทัด เริ่มด้วย สีริ นโมพุทธายะ ศาสนศักราช ๑๖๒๘
ราชกุมารเป็นโอรสของสีริตริภุวนาทิตย-ธมมราช(จันสิตตา)แห่งอริมัททนาปุระ(พุกาม)
กับพระนางตริโลก-วฏ"สกาเทวี(สัมภูละ) จันสิตตาได้มอบข้าทาส ๓
หมู่บ้านให้นาง พอพระนางสิ้นชีวิต
จันสิตตาจึงได้มอบทรัพย์สินและข้าทาส ๓ หมู่บ้านนั้นให้กับราชกุมาร
เมื่อจันสิตตาครองราชย์มาได้ ๒๘ ปี ก็ประชวรหนัก
ราชกุมารระลึกถึงพระคุณของผู้ให้กำเนิด
จึงหล่อพระพุทธรูปทองบริสุทธิ์เพื่ออุทิศต่อพระบิดา พร้อมถวายข้าทาส ๓
หมู่บ้านนั้นแด่พระพุทธรูป
พระบิดาได้กล่าวสรรเสริญในบุญกิริยานั้นแล้วกรวดน้ำถวายต่อหน้าหมู่สงฆ์
๗ รูป จากนั้นจึงได้สร้างเจดีย์สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นั้น
จบท้ายด้วยคำอธิษฐานเพื่อให้ผู้สร้างบรรลุสัพพัญญุตญาณ
พร้อมสาปแช่งผู้ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบุตรหลานหรือญาติมิตร
หากมาข่มเหงรังแกข้าทาสซึ่งตนถวายต่อพระพุทธรูปนั้นแล้วไซร้
ขออย่าให้ได้พบพานพระอริเมตตยยะ
ข้อความในจารึก ๔ ภาษานี้เขียนไว้ ๔ ด้าน ด้านละภาษา
แต่ละด้านมีเนื้อความตรงกัน
ปราชญ์พม่านิยมตีเจตนาของจารึกนี้ว่าเป็นการแสดงออกถึงน้ำพระทัยอันประเสริฐของเจ้าชายราชกุมาร
ที่รู้บุญคุณผู้ให้กำเนิด อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยเมตตา
จึงไม่มีความปรารถนาในราชบัลลังก์จากผู้เป็นหลาน
ทั้งที่มีโอกาสที่จะอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ได้ก็ตาม
น้ำพระทัยจึงต่างจากราชนิกุลอีกหลายองค์ในประวัติศาสตร์พม่าที่มุ่งทำลายล้างกันเพื่อหวังในอำนาจ
ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของชนชั้นผู้นำที่มองเห็นประโยชน์ของประเทศเหนือกว่าประโยชน์ตน
และยังถือเป็นความงดงามทางประวัติศาสตร์ที่พม่ายกมาเป็นแบบเรียนเพื่อสั่งสอนเยาวชนให้รู้จักความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและตระหนักในเมตตาธรรม
ในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น ๕ หน้า ๑๑-๑๒
ได้กล่าวถึงเจ้าชายราชกุมารผู้สร้างศิลาจารึกหลักแรกของพม่าไว้ดังนี้
“จารึกราชกุมารปรากฏอยู่ ณ
เจดีย์แห่งหนึ่งที่บ้านมยีงกะบา(e,'Ntdxj)ในเมืองพุกาม
เหตุที่จารึกนี้มีชื่อว่าจารึกราชกุมารก็ด้วยเพราะเป็นพระราชกุศลของราชกุมาร(ik=d6,kiN)ผู้เป็นราชบุตรของพระเจ้าจันสิตตา
จารึกราชกุมารหลักนี้เป็นคำจารึกที่ราชกุมารกัลปนาแทนคุณบิดา
ด้วยรำลึกถึงพระกรุณาของพระเจ้าจันสิตตา
พระเจ้าจันสิตตาเป็นยอดนักรบผู้ลือนามมาแต่รัชสมัยของพระเจ้าอโนรธาแห่งแผ่นดินพุกาม
แต่ด้วยต้องโทสะของพระเจ้าอโนรธา จันสิตตาจึงต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่ ณ
บ้านจ่องผยู(gEdk'Nez&)
ในเพลานั้นจึงได้อยู่กินกับนางสัมภูละ(l,4&])ผู้เป็นหลานสาวของสมณะรูปหนึ่ง
พอจันสิตตาได้เป็นกษัตริย์ นางสัมภูละจึงพาราชกุมารมาพบพระองค์
การมาของนางสัมภูละนั้นแม้จะเป็นการดี แต่ก็กลับช้ากาล
เนื่องเพราะพระเจ้าจันสิตตาได้มอบตำแหน่งรัชทายาทให้กับอลองซีตู(vg]k'Nt0PNl^)
ผู้เป็นพระนัดดาไปเสียแล้ว
จนพระเจ้าจันสิตตาถึงกับมีพระดำรัสต่อเหล่าเสนามาตย์ว่า
“หลานกลายเป็นกก ลูกกลับเป็นปลาย” (ge,tdktvi'Nt lktdktvzykt)
ภายหลัง แม้พระเจ้าจันสิตตาจะทรงรักใคร่ราชกุมาร
แต่ก็มิอาจทรงยกตำแหน่งอุปราชให้ได้ กระนั้นก็ทรงมอบพระนาม
เชยยะเขตตรา(g=pyg-99ik)ให้กับราชกุมาร
พร้อมกับทรงตั้งให้ปกครองเมืองธัญวดี(TP;9u)และเขตต่องซีง ๗
แขวง(g9k'N0fN-6Oa0N-U6b'N)
ราชกุมารยอมรับอย่างเต็มใจในตำแหน่งเจ้าเมืองที่พระบิดาทรงประทานให้
พระเจ้าจันสิตตายังทรงยกพระนางสัมภูละขึ้นเป็นมเหสี
พร้อมทรงมอบพระนามแก่นางว่าพระนางอูเส้าก์ปาง(FtgCkdNxoNt)
อีกทั้งยังได้ทรงมอบทรัพย์สมบัติอันสูงค่าและหมู่บ้านอีก ๓
แห่งให้แก่พระนาง พอพระนางสัมภูละสิ้นชีวิต
จึงได้มอบทรัพย์สินของพระนางให้ราชกุมารไว้ในครอบครองสืบมา
ต่อมาไม่นาน พระบิดาจันสิตตาก็ประชวร ในเวลาใกล้จะสิ้นพระชนม์นั้น
ราชกุมารได้สร้างพระพุทธรูปทองคำ ไว้ ณ
บ้านมยีงกะบาด้วยทรัพย์สินที่พระบิดาเคยมอบให้เพื่ออุทิศแด่พระองค์
อีกทั้งยังได้ถวายข้าทาส ๓
หมู่บ้านจากที่ได้รับจากพระมารดาแด่พระพุทธรูปนั้น
แล้วกราบทูลต่อพระบิดาเพื่อให้พระองค์ทรงมีโอกาสอนุโมทนาในบุญกุศลทั้งปวง
พระองค์ท่านทรงชื่นชมโสมนัส พร้อมกล่าวสาธุ ๓ ครั้ง
แล้วจึงตรวจน้ำถวายต่อหน้าหมู่พระสังฆาธิการ
มินานต่อมาพระเจ้าจันสิตตาก็สิ้นพระชนม์
ในครั้งนั้น ราชกุมารยังได้สร้างพระเจดีย์ขึ้น ณ
บ้านมยีงกะบาเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ตนได้สร้างถวาย
พร้อมกับถวายข้าทาส ๓ หมู่บ้านเพื่อคอยดูแลพระเจดีย์องค์นั้น
ราชกุมารยังได้สร้างศิลาจารึกเพื่อกัลปนาย้อนรำลึกพระกรุณาธิคุณของพระบิดา
อีกทั้งยังได้จารึกถึง ๔ ภาษา คือเป็นภาษามอญ เมียนมา บาลี และปยู
เพื่อประกาศให้ปวงประชารู้ถึงบุญกิริยานั้นจนทั่ว
ศิลาจารึกนั้นก็คือจารึกราชกุมาร (ik=d6,kiNgdykdN0k)
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า จารึกมยะเซดี (e,g09ugdykdN0k)
ศิลาจารึกหลักนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งต่อวรรณคดีเมียนมาและประวัติศาสตร์เมียนมา”
เรื่องราวของเจ้าชายราชกุมารตามที่ปรากฏในแบบเรียนพม่านั้น
กล่าวถึงคุณค่าของจารึกราชกุมารในฐานะหลักฐานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์พุกามในปลายสมัยของพระเจ้าจันสิตตา
และเป็นแบบอย่างของงานประพันธ์ประเภทร้อยแก้วของพม่าในยุคแรก
เนื้อหาของจารึกสะท้อนความเมตตาของพระเจ้าจันสิตตาต่อราชบุตรอันกำเนิดจากพระนางสัมภูละผู้เคยอุปถัมภ์พระองค์เมื่อต้องหลบลี้ราชภัยของพระเจ้าอโนรธา
และเน้นให้เห็นความกตัญญูของเจ้าชายราชกุมารที่มีต่อพระเจ้าจันสิตตา
ทั้งที่มิได้รับมอบตำแหน่งอุปราช แต่ก็พอใจในฐานะของตน
เจตนาของแบบเรียนจึงเพื่อยกย่องเจ้าชายราชกุมารให้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเยาวชนพม่า
โดยเฉพาะในด้านความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
ส่วนความพอใจในตำแหน่งที่เจ้าชายราชกุมารได้รับนั้นยังเป็นตัวอย่างให้เด็กรู้จักเคารพในคำสั่งและการตัดสินใจของผู้ใหญ่
คือให้เป็นคนว่านอนสอนง่าย
อีกทั้งไม่เร้าร้อนในโอกาสวาสนาที่สูญเสียไป
ครูที่สอนประวัติศาสตร์พม่าจะต้องขยายความเพื่อให้ภาพของเจ้าชายราชกุมารงดงามเยี่ยงนี้ต่อเยาวชน
ปัจจุบันเรื่องราวของเจ้าชายราชกุมารยังได้รับความสนใจมากขึ้นถึงขนาดมีการแต่งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์
เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลในเรื่องความปรองดองในชาติ
เพราะเรื่องราวของพระเจ้าจันสิตตาและเจ้าชายราชกุมารนั้นต่างมีบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่เด่นๆอยู่หลายเรื่อง
โดยเฉพาะมีการยกย่องให้พระเจ้าจันสิตตาเป็นแบบอย่างของผู้ถือสัจจะ
ส่วนเจ้าชายราชกุมารนั้นเป็นแบบอย่างของผู้เปี่ยมเมตตาธรรม
กล่าวคือจันสิตตามีสัจจะต่อพระเจ้าซอลูเพราะไม่ยอมฉวยโอกาสขึ้นครองบัลลังก์ทั้งที่เหล่าอำมาตย์ต่างสนับสนุนพระองค์
และยังทรงมีสัจจะต่อสายเลือดของพระเจ้าอโนรธา
โดยทรงมอบธิดาให้สมรสกับโอรสของพระเจ้าซอลูซึ่งเป็นราชบุตรของอโนรธา
จากนั้นยังได้มอบตำแหน่งอุปราชให้กับบุตรที่เกิดจากคนทั้งสอง
นอกจากนี้ยังทรงอดกลั้นที่จะไม่มอบตำแหน่งอุปราชคืนให้กับเจ้าชายราชกุมารผู้เป็นโอรสแท้ๆของพระองค์
สำหรับเจ้าชายราชกุมารนั้น
ถูกมองว่าทรงมีความเคารพต่อพระเจ้าจันสิตตาและมีเมตตาต่อพระนัดดา
เพราะไม่เรียกร้องที่จะขอตำแหน่งอุปราชตามสิทธิที่อาจอ้างได้เมื่อสิ้นพระเจ้าจันสิตตา
อีกทั้งยังสนองคุณพระบิดาอย่างยิ่งยวดดังความที่ปรากฏในจารึกราชกุมารที่ทรงสร้างขึ้น
ดังนั้นเรื่องราวของพระเจ้าจันสิตตาและเจ้าชายราชกุมารจึงเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของผู้นำ
และเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ตาม
คือผู้นำควรถือสัจจะเพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ส่วนผู้น้อยนั้นควรตระหนักในความเมตตาของผู้ใหญ่
และมีอุเบกขาต่ออำนาจวาสนา
อีกทั้งความผูกพันในความเป็นชาติต้องอยู่เหนือกว่าความผูกพันแบบญาติ
เพราะเชื่อว่าจะเป็นการเอื้อต่อการสร้างสันติภาพและความปรองดองไว้ได้
นั่นคือเจตนาทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังแบบเรียนเรื่องราชกุมาร
อันที่จริงการตีความขยายมุมมองจากจารึกราชกุมารให้เกิดเป็นคุณค่าต่อประเทศชาติและเยาวชนนั้น
เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของการสอนประวัติศาสตร์ของพม่า
ซึ่งก็สอดคล้องด้วยดีกับการตีความประวัติศาสตร์พม่าในส่วนอื่นๆ
กล่าวคือในการสอนประวัติ-ศาสตร์จะต้องเน้นให้เห็นแบบอย่างแก่ประชาชน
และให้ตระหนักเป็นบทเรียนต่อประเทศ
ดังนั้นการวิจารณ์หลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างอิสระจนถึงแก่นหรือให้ใกล้กับความเป็นจริงมากที่สุดโดยไม่ต้องคำนึงถึงความเป็นชาติจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับพม่า
โดยเฉพาะกับสถานการณ์ทางการเมืองของพม่าในปัจจุบันที่รัฐบาลมีนโยบายรณรงค์อุดมการณ์ชาตินิยม
และความปรองดองภายในประเทศอย่างจริงจัง
วิรัช
นิยมธรรม