แบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา สำหรับเกรด ๓ หน้า ๑-๒ กล่าวถึงเจ้าชายกวมอับสา วีรบุรุษผู้รักชาติแห่งเมืองหงสาวดี
สารัตถะจากตำราเรียนพม่า
:
เจ้าชายกวมอับสา
วีรบุรุษผู้รักชาติแห่งหงสาวดี
แบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา
สำหรับเกรด ๓ หน้า ๑-๒ กล่าวถึงเจ้าชายกวมอับสา
วีรบุรุษผู้รักชาติแห่งเมืองหงสาวดี
เรื่องของเจ้าชายกวมอับสานั้นเป็นตำนานราชวงศ์ของฝ่ายมอญยุคต้นๆ
และตำนานนี้ก็ปรากฏอยู่ในพงศาวดารของพม่าด้วยเช่นกัน
เนื้อเรื่องในตำนานเป็นเรื่องของเจ้าชายที่มีเชื้อสายกษัตริย์หงสาวดีนามว่า
กวมอับสา แต่ด้วยต้องราชภัยจึงถูกนำตัวไปทิ้งตั้งแต่ยังเป็นทารก
เจ้าชายมีชีวิตรอดมาได้ก็ด้วยการอุปการะของหญิงชาวนา
พอเติบใหญ่เจ้าชายเป็นผู้ที่มีความสามารถยิ่งนัก
ภายหลังจึงได้อาสาเจ้าเมืองหงสาวดีผู้เป็นพระเจ้าอา
ปราบนักรบต่างถิ่นที่มาท้าชิงเมือง
ในที่สุดเจ้าชายกวมอับสาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปราชเมืองหงสาวดี
เรื่องราวโดยละเอียดของเจ้าชายกวมอับสาตามที่ปรากฏในแบบเรียนพม่ามีดังนี้
ณ เมืองหงสาวดี(s"lk;9uexPN)
สมัยเมื่อเจ้าสามล(l,],'Nt)ขึ้นครองบัลลังก์นั้น
มีเจ้าวิมล(;b,],'Nt)พระอนุชาเป็นอุปราช ในคราหนึ่ง
ขณะที่เจ้าสามลเสด็จประพาสอยู่นั้น พระองค์ได้เสด็จมาถึงไร่แห่งหนึ่ง
ครั้นได้เห็นบุตรสาวแสนสวยของชาวไร่
พระองค์ก็ทรงขอนางจากชาวไร่นั้นเพื่อจะยกขึ้นเป็นมเหสี
บุตรสาวของชาวไร่เกิดความอายต่อพระองค์
จึงได้หลบไปซ่อนตัวอยู่ในเถาฟักทอง
เนื่องจากเจ้าสามลได้หานางพบขณะซ่อนตัวอยู่ในเถาฟักทองนั้น
จึงมักเรียกนางว่า พระนางฟักทอง(gUzU6",pN)
เจ้าสามลได้นำพระนางฟักทองกลับไปยังหงสาวดีแล้วแต่งตั้งเป็นมเหสี
ต่อมามเหสีองค์นี้ได้ให้กำเนิดพระกุมารองค์หนึ่ง
แต่พอพระกุมารมีชันษาได้เพียง ๖ เดือน ท้าวสามลก็เสด็จสวรรคต
จากนั้นเจ้าวิมลพระอนุชาจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์หงสาวดี
พร้อมกับแต่งตั้งให้พระนางฟักทองเป็นมเหสี
แต่ด้วยเจ้าวิมลทรงกังวลว่าเรื่องในราชสำนักจะยุ่งเหยิง
พระองค์จึงรับสั่งให้นำพระกุมารผู้เป็นหลานนั้นไปทิ้งเสียที่ชานเมือง
เหล่าอำมาตย์ได้นำพระกุมารน้อยนั้นไปยังบ้านกวมอับสา(d:,NvxNlkt)
ซึ่งอยู่ ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปองลอง(gxj'Ntg]k'Nte,0N)
และใกล้ๆกับหมู่บ้านนั้นมีคอกควายของแม่เฒ่ากะเหรี่ยง นามว่า
นังกะลาย(ooNtd]6b'Nt) เมื่อถึงเวลาดึก
พวกอำมาตย์จึงได้ทิ้งพระกุมารน้อยไว้ในคอกควายนั้น
รุ่งขึ้นวันต่อมา นังกะลายได้เข้าไปต้อนควายออกจากคอก
พลันก็พบพระกุมารน้อยนอนอยู่ที่ปากคอกนั้น พอเห็นพระกุมาร
นางก็เกิดรักและเวทนา จึงเลี้ยงกุมารน้อยไว้เป็นลูก
พอพระกุมารโตขึ้น จึงคิดว่านังกะลายเป็นมารดาแท้ๆของตน
ดังนั้นจึงปรนนิบัติต่อนางเป็นอย่างดี พอพระกุมารเติบใหญ่
ก็มีวรกายอันสมบูรณ์และเปี่ยมดัวยพลัง
ในขณะที่เลี้ยงควายนั้นก็จักคอยกำจัดสัตว์ที่เข้ามารบกวนฝูงควาย
พระองค์มีความชำนาญทั้งการใช้ดาบ หอก และธนู
ในคราหนึ่ง ชาวต่างแดนได้เดินทางด้วยเรือสำเภาเข้ามาจอด ณ
ท่าเมืองหงสาวดี เรือสำเภานี้มีนักรบร่างสูงใหญ่ถึง ๗ ศอกเป็นผู้นำ
ฝ่ายพวกต่างแดนนั้นประกาศว่าหากไม่มีใครสามารถฆ่านักรบร่างยักษ์ของพวกเขาได้แล้ว
หงสาวดีก็จะต้องตกอยู่ใต้อำนาจของพวกเขาทันที
แล้วนักรบร่างยักษ์ก็ขึ้นนั่งที่หัวเรืออวดตนให้คนทั้งเมืองเห็น
พอชาวเมืองหงสาวดีได้เห็นต่างก็ครั่นคร้ามยิ่งนัก
เจ้าวิมลจึงทรงสั่งให้หาผู้ทรงพลังที่จะต่อกรกับนักรบผู้นั้น
ในเวลานั้น
เหล่าอำมาตย์ได้พบกับเจ้าชายน้อยผู้เลี้ยงควายในหมู่บ้านกวมอับสาซึ่งเพียบพร้อมด้วยพละกำลัง
เจ้าชายน้อยได้อาสาต่อสู้กับนักรบร่างยักษ์นั้น
โดยไม่ขอรับรางวัลแต่อย่างใด
เพราะพระองค์เพียงต้องการปกป้องดูแลเมืองหงสาวดีไว้เท่านั้น
หลังจากนั้นจึงไปขออนุญาตนังกะลายผู้เป็นมารดา
ก่อนที่จะเดินทางไปยังเมืองหงสาวดี
เมื่อถึงวันนัดหมายที่จะประลองกัน
เจ้าวิมลและพระนางฟักทองพร้อมด้วยเหล่าอำมาตย์ได้มาถึงยังท่าน้ำเมืองหงสาวดี
พอเริ่มประลองนักสู้ต่างแดนได้หยิบหอกด้ามใหญ่โตขึ้นมา
แล้วก็พุ่งหอกนั้นเข้าใส่เจ้าชายน้อยในทันที
แต่เจ้าชายน้อยกลับหลบได้อย่างฉับไว
แล้วก็พุ่งหอกสวนกลับไปยังนักรบร่างยักษ์นั้น
นักรบต่างแดนไม่สามารถหลบหอกของเจ้าชายน้อยได้ทันจึงลมลงสิ้นใจตายอยู่
ณ ที่นั้นเอง
ในเวลานั้นพวกต่างแดนจึงได้เร่งล่องสำเภาหนีออกจากหงสาวดีไปในบัดนั้น
ด้วยเจ้าวิมลและพระนางฟักทองประสงค์จะมอบรางวัลให้กับเจ้าชายน้อย
จึงทรงเรียกเจ้าชายน้อยให้มาเข้าเฝ้า
พอท้าววิมลเห็นเจ้าชายน้อยอย่างใกล้ชิด
พลันก็สังเกตได้ว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าชายน้อยนั้นช่างละม้ายกับเจ้าสามลผู้เป็นพระเชษฐายิ่งนัก
จึงได้เรียกนังกะลายมาสอบถาม
และได้ทรงทราบว่าเป็นราชบุตรของเจ้าสามล
เจ้าวิมลจึงได้มอบตำแหน่งอุปราชให้กับพระนัดดาของพระองค์
และยังได้มอบรางวัลให้กับนังกะลายอย่างมากมาย
เจ้าชายน้อยจึงถูกขานพระนามว่าเจ้าชายกวมอับสา(d:,NvxNlkt)
ตามชื่อบ้านกวมอับสานั้นแล
ตำนานเจ้าชายกวมอับสา (พม่าอ่านว่า กูนอะตา)
ผู้เป็นวีรบุรษแห่งหงสาวดีนี้
ถูกนำมาบรรจุไว้ในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับตำนานกังราชาจี-กังราชาแหง่แห่งตะกอง(ดู
“รู้จักพม่า” ฉบับ ๑๕) และปยูซอทีแห่งพุกาม(ดู “รู้จักพม่า” ฉบับ ๑๖)
ตำนานทั้ง ๓ เรื่องถูกนำมาใช้อธิบายกำเนิดของอาณาจักรในยุคแรก
คือก่อนที่พระเจ้าอโนรธาจะสร้างอาณาจักรเมียนมาในยุคประวัติศาสตร์
เหตุที่ตำนานทั้ง ๓ เรื่องได้รับความสำคัญนั้น
น่าจะเป็นเพราะเรื่องราววีรกรรมของกษัตริย์ในตำนานดังกล่าวสามารถบ่งชี้ความเป็นชาติ
การสร้างความเป็นปึกแผ่น และการรักษาอธิปไตยของเมียนมาได้เป็นอย่างดี
โดยให้ภาพของวีรบุรุษในฐานะผู้นำที่คอยค้ำจุนประเทศ
ส่วนชนพื้นเมืองในตำนาน ก็คือประชาชนในความหมายทางชาติรัฐ
ที่ต่างมีบทบาทในการฟูมฟักวีรบุรุษของชาติ
วีรบุรุษในตำนานจึงสอดคล้องกับแนวทางการยกย่องนักรบวีรชนในสมัยที่นายพลเนวินนำกองทัพขึ้นมากุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จจวบจนถึงปัจจุบัน
พม่าถือว่าวีรบุรุษจากตำนานทั้ง ๓ นั้นมีลักษณะของผู้นำที่ดี คือ
เป็นคนเก่ง กล้าหาญ และเสียสละ สามารถสร้างอาณาจักร
ดูแลอาณาจักร(การปราบภัยภายในและภายนอก) สร้างสันติสุข
และบำรุงพุทธศาสนา
จากเรื่องกังราชาจี-กังราชาแหง่แห่งตะกองยังบ่งบอกว่าผู้นำพม่ามีชาติกำเนิดสูงด้วยสืบเชื้อสายร่วมกับพุทธศาสดา
นั่นคือเป็นชาวพุทธ
จึงมีความชอบธรรมทางการเมืองเหนือชนพื้นเมืองอันมีชาวปยู กังยัง แต๊ะ
ยะไข่ และมอญ เป็นอาทิ
และจากเรื่องปยูซอทีแห่งพุกามแสดงให้เห็นว่าเจ้าชายแห่งตะกองมาช่วยพุกามรวบรวมอาณาจักรด้วยการปราบภัยในแผ่นดินในรูปของภัยธรรมชาติและศัตรูภายในจนแผ่นดินบังเกิดสันติสุข
ส่วนเรื่องเจ้าชายกวมอับสานั้นบ่งบอกถึงความรักชาติของวีรชนที่พร้อมจะเสียสละเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติให้พ้นจากภัยภายนอก
ส่วนประเด็นของชนชาติ ตำนานทั้ง ๓
เรื่องอาจทำให้เข้าใจไปว่าชาติตระกูลที่พม่าให้การยกย่องในฐานะผู้นำน่าจะเป็นศากยวงศ์และมอญ
แต่ที่จริงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะพม่าไม่ได้ย้ำเน้นความเหนือกว่าในด้านชนชาติไว้ในแบบเรียนโดยชัด
แต่กลับให้ความสำคัญต่อผู้นำที่เป็นนักรบที่ประกอบภารกิจเพื่อประเทศชาติ
ดังนั้นในโลกทัศน์ของพม่า
ชาติกำเนิดสูงของผู้นำจึงน่าจะหมายถึงผู้สืบเชื้อสายหรือผู้สืบทอดวีรกรรมเยี่ยงวีรบุรุษหรือยอดนักรบมากกว่าชนชาติใดชนชาติหนึ่ง
นับว่าแบบเรียนพม่าได้สะท้อนความเป็นวีรบุรุษนิยมมากกว่าความเป็นเผ่าพันธุ์นิยม
โดยเฉพาะประเด็นวีรบุรุษในยุคก่อนอาณาจักรพุกาม
วิรัช
นิยมธรรม