นับแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นมา หนังสือพิมพ์เดอะนิวส์ไลท์ออฟเมียนมา และอินเตอร์เน็ตของรัฐบาลพม่าได้ลงบทความโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง
โยดะยา นั้นหรือคือ
“ผู้แพ้”
:
หากจะคิดแย้งพม่าด้วยมุมมองทางภาษา
นับแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม
๒๕๔๕ เป็นต้นมา หนังสือพิมพ์เดอะนิวส์ไลท์ออฟเมียนมา
และอินเตอร์เน็ตของรัฐบาลพม่าได้ลงบทความโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยดึงเรื่องราวความสัมพันธ์ไทยกับพม่าและเพื่อนบ้านอื่นๆในอดีตมาอธิบายต้นเหตุของความขัดแย้งด้านชายแดนในปัจจุบัน
โดยพม่าสรุปเองว่าไทยไม่ใช่ “เพื่อนบ้านที่ดี”
ทั้งต่อพม่าและประเทศรอบบ้าน
ที่สุดฝ่ายไทยก็โต้ตอบพม่าโดยใช้สื่อเช่นกัน
แต่ก็ทิ้งคำถามค้างคาใจว่าเหตุใดพม่าจึงโพนทะนาว่าไทยถึงเพียงนี้
คำตอบที่รับจากสื่อมวลชนไทยมีหลากหลาย อาทิ
อาจเป็นอารมณ์สะสมที่รู้สึกว่าสังคมไทยมองคนพม่าในด้านลบมาตลอด
หรืออาจเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อประโยชน์ทางการเมืองภายใน
หรืออาจมีมือที่มองไม่เห็นเข้ามาเกี่ยวข้อง
หรือพม่าต้องการส่งสัญญาณบางอย่างให้ได้รับรู้ เป็นต้น
ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไรนั้นก็คงต้องแล้วแต่ข้อมูลข่าวสารและมุมมองที่มีต่อกรณีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าขบคิดอยู่ว่า
ทำไมสื่อรัฐบาลพม่าจึงกำหนดนิยามให้กับ “โยดะยา” อันหมายถึงไทยว่าเป็น
“ผู้แพ้”
แล้วก็มีเสียงสะท้อนตอบรับแสดงความไม่พอใจที่พม่าเรียกไทยว่าโยดะยา
เพราะเข้าใจไปว่าโยดะยาเป็นคำที่ดูหมิ่นดูแคลนตามที่พม่าบอก
พม่าอ้างว่า “โยดะยา” มาจาก “อยุธยา”
ราชธานีที่เราเสียให้กับพม่าเมื่อหลาร้อยปีก่อน
พม่าบอกว่าได้ตัดพยางค์แรกแล้วก็เรียกว่า “ยุธยา”
ภายหลังก็เพี้ยนมาเป็น “โยดะยา” ในปัจจุบัน
การตีความเช่นนี้เคยปรากฏอยู่ในแบบเรียนสังคมศึกษา เล่ม ๒
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ปีการศึกษา ๒๐๐๑–๒๐๐๒ ความว่า
“ความหมายของอยุธยา(vp6m¸p)มีว่า เผด็จศึกมิได้
แต่ด้วยชาวเมียนมาได้เรียกอยุธยาว่า ยุทธยะ(p6m¸p) อันหมายความว่า
ประเทศที่ถูกเผด็จศึก
จึงได้กลายเป็นประเทศโยดะยา(p6btmpkt)ในภายหลัง”
อันที่จริง
การตีได้เมืองแล้วเปลี่ยนชื่อก็เคยมีกล่าวในประวัติศาสตร์พม่า อาทิ
เมื่อพระเจ้าอลองพญาตีได้เมืองดะโกงของมอญ ก็เปลี่ยนชื่อฉลองเมืองเป็น
“ย่างกุ้ง” ในความหมายว่า “หมดภัย” หรือ “สิ้นศัตรู” แต่กรณี “โยดะยา”
กลับตีความให้เป็น “ผู้แพ้” ที่ฟังไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
ในขณะที่คำว่า “เมียนมา” นั้น พม่าตีความให้ดูดีไปหมดว่าหมายถึง
“ปราดเปรียว” และ “เข้มแข็ง” เมียนมาจึงเป็นคำที่ถูกใจพม่ามากกว่า
“บะมา” หรือ “เบอร์มา” ที่พม่าบอกว่าได้เผลอเรียกตามฝรั่งอยู่นาน
แต่ความเป็นชาตินิยมเอามากๆทำให้พม่าเลือกที่จะตีความโยดะยาให้หมายถึงไทยในทางลบ
และให้เมียนมามีความหมายในทางดี
ทั้งที่การตีความชื่อทั้งสองก็เป็นเพียงการหาร่องรอยรากศัพท์อย่างที่นักปราชญ์สายวัดของพม่านิยมกัน
จึงน่าสงสัยว่าฝ่ายพม่านั้นด่วนตีความหรือไม่
ที่ผ่านมา “โยดะยา” ในนิยาม “ผู้แพ้” นั้น
เคยมีการกล่าวถึงบ้างในวงแคบๆมาก่อนนี้
แต่ไม่พบหลักฐานว่าใครเป็นผู้คิดค้นนิยามนี้ขึ้นมา
จึงยังไม่อาจหาข้อสรุปต่อเหตุปัจจัยในอดีตได้ชัดเจน
ส่วนการกระพือนิยามเชิงลบในปัจจุบันนั้น
เป็นที่แน่ชัดว่ามีที่มาจากการที่พม่าไม่พอใจไทยในปัญหาชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดน
และจากการที่สื่อมวลชนและสื่อบันเทิงของไทยมักให้ภาพพม่าที่ไม่งาม
แล้วพม่ายังกล่าวโทษระบบการศึกษาของไทยที่สั่งสอนคนไทยให้เกลียดชังพม่า
พม่าจึงเก็บความไม่พอใจนี้ไว้
พร้อมกับให้ความสนใจศึกษาความคิดของไทยต่อพม่า
ก่อนหน้านี้ “โยดะยา” ไม่ใช่คำที่ชาวพม่าเรียกไทยอย่างดูแคลน
และชาวพม่าก็มักเรียกคนไทยหรือประเทศไทยว่า “โยดะยา”
และก็ใช้บ่อยเสียยิ่งกว่าที่จะเรียก “ไทย”
ซึ่งพม่ากำหนดให้เป็นคำเรียกอย่างเป็นทางการ คำว่า “โยดะยา”
จึงมิได้แฝงนัยดูถูกมาก่อน อย่างที่พม่าเรียกแขกหรือฝรั่งว่า “กะลา”
(พม่าไม่ค่อยชอบกะลาจากความทรงจำที่สั่งสมมาแต่อดีตและความต่างทางวัฒนธรรม)
ส่วนผู้ที่ทำให้ “โยดะยา”
เป็นคำหยามเหยียดคือสื่อมวลชนในกำกับของรัฐบาลพม่า
และกระทรวงศึกษาธิการของพม่าที่ผลิตแบบเรียนสังคมศึกษาว่าด้วยความสัมพันธ์ไทยกับพม่าเมื่อปีที่ผ่านมา
ในทัศนะพม่า พม่ากล่าวถึงคำ “โยดะยา” ว่าเกิดขึ้นในบริบทของพม่า
คือพม่าเป็นฝ่ายแก้คำอยุธยาให้เป็นยุธยา
แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลักฐานและมุมมองที่อาจต่างกันได้
ในที่นี้จึงใคร่ขอเสนอแนวคิดทางภาษาศาสตร์เพื่อสืบที่มาของคำโยดะยาในบริบทไทยไว้ได้พิจารณา
ดังเป็นที่ทราบกันว่าคนท้องถิ่นอยุธยาหรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่คนท้องถิ่นก็ตาม
มักจะเรียกจังหวัดอยุธยาแบบกร่อนเสียงว่า “ยุด-ยา”
ก็เรียกกันสั้นๆทำนองเดียวกับที่เราเรียกสุโขทัยว่า “โขทัย”,
เรียกพิษณุโลกว่า “พิดสะโลก”, “พิดโลก” หรือ “พิโลก”,
เรียกนครสวรรค์ว่า “คอนหวัน” และ เรียกราชบุรีว่า “ลาดลี” เป็นต้น
เหตุที่ชื่อเมืองอาจถูกเรียกแบบกร่อนเสียงนั้น ก็เพื่อความสะดวกปาก
โดยตัดพยางค์ที่ไม่เน้นเสียงออกไปจนเหลือเฉพาะพยางค์ที่เน้นเสียงเท่านั้น
คำหลายพยางค์จึงถูกลดรูปเป็นคำที่มีจำนวนพยางค์น้อยลง
นั่นคือคนไทยชอบพูดหดคำ โดยเฉพาะชื่อบ้านนามเมืองที่ตั้งกันยาวๆ
ในเอกสารประวัติศาสตร์ของพม่า
เวลาเอ่ยถึงชื่อเมืองและพระนามกษัตริย์ของไทย
พม่ามักบันทึกตามสำเนียงพูดมากกว่าถ่ายอักษรจากตัวเขียน เช่น
เวลาพม่าเอ่ยถึงเมืองพิษณุโลก พม่าจะใช้ว่า “ปิ๊ดตะเล่า” (xbÊg]kdN)
ซึ่งคงได้มาจากภาษาปากของคนไทยในท้องถิ่นยุคก่อนๆที่มักเรียกพิษณุโลกว่า
“พิดสะโลก” ฉะนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนพม่าอาจจะรู้จักชื่อ
ยุด-ยา จากปากชาวอยุธยาหรือคนไทยโดยไม่ผ่านตัวเขียน
ก็ทำนองเดียวกับไทย ก็หาได้รู้จักชื่อ “เมียนมา” หรือ “มรันมา”
ในรูปภาษาเขียน แต่รู้จักคำ “พม่า”
ที่มาจากภาษาพูดของคนท้องถิ่นตอนล่างของพม่า คำว่า “พม่า”
นั้นก็เป็นคำที่เพี้ยนมาจาก “มรันมา”
ซึ่งสามารถอธิบายด้วยกฎการปฏิภาคของเสียง ดังนั้น “ยุด-ยา”
จึงอาจจะเป็นที่มาของคำโยดะยา ก็เพราะคนพม่าฟังได้อย่างนั้น
ส่วนการที่พม่าออกเสียง “ยุด-ยา” ยืดเป็นคำ ๓ พยางค์ว่า “โยดะยา” นั้น
ก็เนื่องเพราะข้อจำกัดในด้านเสียงของภาษาพม่า
กล่าวคือพยางค์ในภาษาพม่าจะไม่มีเสียงพยัญชนะท้ายสะกดชัดเจนอย่างภาษาไทย
อย่างคำที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ เป็นต้น
พอพม่าจะออกเสียงคำที่มีพยัญชนะสะกดอย่าง “ยุด”
จึงต้องเพิ่มสระให้กับเสียงพยัญชนะท้าย เป็น “ยุดะ”
แต่พอพม่าจะพยายามสะกดเสียงพยัญชนะ ด ให้ชัดอย่างคนไทย
สระอุก็จะยิ่งเพี้ยนไปกลายเป็นสระโอ ดังนั้น “ยุดะ” จึงกลายเป็น
“โยดะ” การเพี้ยนที่สระเช่นนี้ก็เป็นการเพี้ยนทั้งระบบ เช่น
เวลาคนพม่าพูดคำว่า good พม่าไม่ออกเสียง กูด แต่จะออกเสียงเป็น โกด
เพื่อจะออกเสียงท้าย d ให้ชัด ด้วยเหตุนี้
พม่าจึงอาจจะได้ชื่อเมืองอยุธยาในภาษาพูด คือ “ยุด-ยา”
แล้วยืดคำด้วยการเพิ่มพยางค์และแปลงสระจนกลายเป็น“โยดะยา”อย่างที่เห็น
ตัวอย่างสนับสนุนการเพิ่มพยางค์หรือยืดคำในภาษาพม่าจากคำยืมภาษาต่างประเทศมีอาทิ
ชื่อของนายจัตสัน หมอสอนศาสนาผู้เรียบเรียงพจนานุกรมพม่า-อังกฤษคนแรกๆ
พม่าจะเรียกว่า “ยุดะสัน”, คำว่า เน็คไท ชาวบ้านพม่าจะออกเสียงเป็น
เนะกะได, พม่าเรียกประเทศลาว ว่า “ลาโอ” โดยใช้ “โอ” แทนเสียง ว สะกด
และคำว่า “เมีย” ในภาษาไทย
เมื่อพม่ายืมมาใช้ในภาษาตนก็จะออกเสียงเป็น ๒ พยางค์ กลายเป็น
“มยา” ทั้งนี้เพราะพม่าไม่มีสระเอีย เป็นต้น
พม่าจำเป็นต้องยืดเสียงคำให้มีพยางค์เพิ่มขึ้นชดเชยเสียงพยัญชนะสะกดหรือสระที่ไม่มีในพม่า
ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการออกเสียง ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่า
“อยุธยา” ที่คนพื้นบ้านเรียกว่า “ยุด-ยา” นั้น ได้กลายเป็น “โย-ดะ-ยา”
ก็เพราะคนพม่าพูดไทยไม่ชัด
อันที่จริง แนวคิดทางภาษาศาสตร์ต่อที่มาของคำ “โยดะยา”
ที่ลองเสนอมาให้พิจารณานั้น
มิได้มีเจตนาจะแก้ต่างเพื่อปฏิเสธพม่าที่เสกคำ “โยดะยา”
ให้มีนัยว่าเป็น “ผู้แพ้” หรืออยากให้เชื่อว่า “ยุด-ยา” คือ “อยุธยา”
เพื่อคงความเดิมให้เป็น “ผู้ไม่เคยแพ้” แต่อย่างใด
เพราะการประกาศตนเป็นผู้ชนะ การประณามผู้อื่นว่าเป็นผู้แพ้
หรือการไม่ยอมเป็นผู้แพ้เสียเลยนั้นต่างมิมีอะไรที่ควรจะยกย่อง
และท้ายที่สุดเชื่อว่าคำ “โยดะยา“
ก็ยังต้องเป็นคำพม่าที่ใช้เรียกไทยสืบไป
ทั้งนี้ก็ด้วยชาวพม่าทั่วไปได้ใช้คำนี้กันมาอย่างคุ้นเคยโดยมิตั้งใจจะลบหลู่หรือดูแคลนไทย
ส่วนที่พม่าออกอาการเพี้ยนไปในขณะนี้ก็เพราะกลุ่มชาตินิยมพม่าคงอยากฟื้นอดีตย้อนรอยไทยบ้างเท่านั้น
วิรัช
นิยมธรรม