เศรษฐกิจพม่าในสมัยสังคมนิยม
๑. สมัยรัฐบาลสภาปฏิวัติและสมัยพรรคแนวทางสู่สังคมนิยม (ค.ศ.๑๙๖๒–๑๙๘๘)
นับแต่วันที่ ๒ มีนาคม ค.ศ.๑๙๖๒ เป็นต้นมา
เศรษฐกิจพม่าในสมัยสังคมนิยม
๑.
สมัยรัฐบาลสภาปฏิวัติและสมัยพรรคแนวทางสู่สังคมนิยม
(ค.ศ.๑๙๖๒–๑๙๘๘)
นับแต่วันที่ ๒ มีนาคม ค.ศ.๑๙๖๒
เป็นต้นมาสหภาพเมียนมาได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากฐานราก
ระบบเศรษฐกิจแบบเจ้าที่ดินและนายทุนของยุคเก่าถูกยกเลิกและมีการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมขึ้นใช้แทน
ในการก่อตั้งระบบดังกล่าวได้มีการโอนกิจการการลงทุนเพื่อการผลิตให้เป็นของรัฐ
ภาคเศรษฐกิจแบบประชากิจ(exPNl^x6b'N)จึงแพร่กระจาย
ในเบื้องตัน
มีการชื้อโอนกิจการขุดเจาะน้ำมันและแร่ธาตุให้เป็นของรัฐจากบริษัทที่ร่วมทุนต่างประเทศ
อาทิ บริษัทบีโอซีจำกัด และบรรษัทบะมาคอโบเลชั่นจำกัด เป็นต้น
นอกจากนี้
ยังได้โอนกิจการการผลิตน้ำมันด้านอื่นๆมาเป็นของรัฐอีกด้วย
ในปี ค.ศ. ๑๙๖๓ ได้ยึดกิจการต่อไปนี้เป็นของรัฐ ได้แก่ กิจการธนาคาร
โรงงานใหญ่ๆของเอกชน โรงเลื่อย และกิจการด้านธุรกิจต่างๆ
ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๖๙
ยังได้โอนกิจการโครงงานทั้งหลายตลอดจนโรงเลื่อยและสถานประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนี้ ยังได้โอนกิจการการค้าเข้าส่งออกของเอกชน
กิจการจากการสัมปทาน และกิจการด้านวิศวกรรมมาเป็นของรัฐ
ด้วยวิธีการดังกล่าวได้ช่วยหยุดยั้งปัญหาจากการซื้อขายสัมปทาน
การลักลอบค้าเงิน
การลักลอบผลิตสินค้าและการเล่นราคาจากการรวมหัวกับพวกนายทุนต่างชาติ
การปล่อยให้การกระจายสินค้าต้องขึ้นอยู่กับการชักใยโดยเอกชนต่อไปนั้นไม่สอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ดังนั้นในปี ค.ศ. ๑๙๖๔ รัฐจึงต้องโอนกิจการต่างๆ อันได้แก่
ร้านขายปลีก ร้านขายส่ง ห้างร้าน
และร้านค้าทั่วไปที่ค้าขายสินค้าบริโภค เครื่องนุ่งห่ม
ตลอดจนสินค้าทั่วไปให้เป็นของรัฐทั้งหมด
จากการที่ธนบัตรราคา ๑๐๐ จั๊ต และ ๕๐
จั๊ตตกอยู่ในมือของเหล่านายทุนต่างชาติและนายทุนในประเทศ
จึงทำให้มีการเล่นต่อรองราคาในการซื้อสินค้า
อีกทั้งมีการซื้อหาเงินตราต่างประเทศด้วยราคาที่ไม่เป็นธรรม
เหล่านี้เป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อความเป็นอยู่ของประชาชน
ดังนั้นจึงได้มีการประกาศยกเลิกธนบัตร ๑๐๐ จั๊ตและ ๕๐ จั๊ตในปี ค.ศ.
๑๙๖๔
ประเทศเมียนมาได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสกุลเงินสเตอร์ลิงเมื่อปี
ค.ศ.๑๙๖๖
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถดำเนินการด้านเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างอิสระ
และจากการถอนตัวในครั้งนั้นได้ช่วยเปิดโอกาสให้สามารถติดต่อกับตลาดการเงินโลกได้โดยอิสระ
หลังจากการโอนกิจการของเอกชนเป็นของรัฐแล้ว
จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการพาณิชยกรรม(d6oNl:pNgitgdk'N0u)ขึ้นในปี
๑๙๖๕ เพื่อดูแลกิจการพาณิชยกรรมทั้งภายในและต่างประเทศ
มีการตั้งบรรษัทพาณิชยกรรมขึ้น ๒๒ แห่ง
ในระดับอำเภอก็มีการตั้งคณะพาณิชยกรรมในระดับอำเภอเพื่อดูแลการพาณิชย์ของอำเภอ
และในระดับหมู่บ้านได้มอบหมายให้ร้านค้าสหกรณ์ไร่นาและกิจการร่วม(]pNpkOa'NH]6xN'oNtgxj'Nt06")ทำหน้าที่ดำเนินการจัดขายสินค้าพาณิชย์ทั้งหลาย
รัฐบาลสภาปฏิวัติได้ออกคำสั่งด้านพาณิชยกรรมเพื่อเปิดโอกาสให้สหกรณ์และพ่อค้าเอกชนชื้อขายสินค้ายกเว้นได้
จากการอนุญาตดังกล่าว
ช่วยให้ผู้ผลิตสินค้าพาณิชย์ผลิตสินค้ามากขึ้นและสินค้ายกเว้นต่างๆก็มีราคาถูกลง
รัฐบาลสภาปฏิวัติได้ตั้งบรรษัทนำเข้าและส่งออกสินค้าแห่งเมียนมา
(e,oN,kH569Nd6oNl:'Ntd6oNgdkNx6bgitia'Nt)ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๖๔
หลังจากที่ยกเลิกการให้ใบอนุญาตการนำเข้าสินค้า
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมในการดำเนินการด้านพาณิชยกรรมกับต่างประเทศ
โดยบรรษัทดังกล่าวจะทำหน้าที่ดูแลตรวจสอบเพื่อนำเข้าเฉพาะสินค้าที่จำเป็นสำหรับประชาชน
รัฐบาลสภาปฏิวัติได้ดำเนินการขยายกิจการขนส่งภายในและต่างประเทศ
ในด้านการขนส่งทางรถไฟได้มีการขยายกิจการ ขยายเส้นทาง
และดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซม ในปี
ค.ศ.๑๙๖๓ได้โอนกิจการจากบริษัทขนส่งราชวัง
(goexPNg9kNx6bhgCk'Ngitd6,»Iu) ให้กับคณะกรรมการขนส่งทางบก
(d6oNt],NtlpNp^x6bhgCk'Ngitvz:ch)พร้อมกับเริ่มโอนกิจการการเดินรถมาเป็นของรัฐ
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการขยายกิจการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ
และโอนกิจการขนส่งทางทะเลเป็นของรัฐด้วยเช่นกัน
ส่วนการขนส่งทางอากาศนั้นสามารถขยับขยายกิจการได้เพียงเล็กน้อยเพราะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูง
ก่อนที่จะวางแผนโครงการสหกรณ์ในด้านต่างๆให้ได้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมการสหกรณ์ขึ้นก่อน
พอในปี ค.ศ. ๑๙๗๐ สภาปฏิวัติได้ดำเนินโครงการสหกรณ์ขึ้น ๑ โครงการ
โดยจัดให้มีคณะกรรมการสหกรณ์ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม
สภาปฏิวัติได้ตั้งระบบถือครองที่ดินการเกษตร(ge,pk0o0N)ที่เป็นธรรมเพื่อให้กิจการด้านการเกษตรได้รับการพัฒนา
พร้อมกับยกเลิกระบบเช่าที่ดิน(lut0kt0o0N)เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถทำเกษตรกรรม
เกษตรกรได้รับการจัดสรรที่ทำกินตามกฎหมายปฏิรูปที่ดิน
มีการตั้งคณะกรรมการที่ดินการเกษตรเพื่อดูแลการใช้ที่ดินการเกษตรให้ถูกต้อง
และมีความพยายามที่จะพัฒนาจากการเกษตรแบบพื้นบ้าน(]dN,A]pNpk)ให้เป็นเกษตรที่ใช้เครื่องจักรกล(0dN,A]pNpk)
จากการดำเนินโครงการคลองชลประทานเพื่อการทดน้ำและป้องกันอุทกภัยได้ช่วยให้พื้นที่ชลประทานขยายตัวขึ้น
ในด้านอุตสาหกรรมมีการพัฒนาตามสภาพของทรัพยากร สถานะทางการเงิน
และความชำนาญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรได้ก่อตั้งกิจการอุตสาหกรรมที่สามารถส่งเสริมการเกษตร
พอในปี ค.ศ.๑๙๖๔
ได้มีการออกกฎหมายป้องกันแผนสร้างเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเพื่อมิให้มีการต่อต้าน
จากการประชุมพรรคครั้งที่ ๒ ในเดือนตุลาคม ค.ศ.๑๙๗๓
ได้กำหนดให้วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศเมียนมาขึ้นมา
แผนพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นแผนระยะ ๒๐ ปี โดยมีระยะดำเนินการจากปี
๑๙๗๔ - ๑๙๗๕ จนถึง ๑๙๙๓ - ๑๙๙๔
เป้าหมายหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวในเวลา ๒๐
เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองแบบสังคมนิยมเข้าถึงภาวะตั้งมั่นภายในปี ค.ศ. ๑๙๙๓–๑๙๙๔
ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนดังกล่าว
เป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวตามรูปแบบของระบอบสังคมนิยมนั้นกำหนดให้มีการจำแนกภาคเศรษฐกิจออกเป็น
๓ ภาค ได้แก่ ภาครัฐ ภาคสหกรณ์ และภาคเอกชน
การดำเนินการทางเศรษฐกิจมีกำหนดโดยลำดับ คือ
ขยายภาคการผลิตด้านการเกษตร ปศุสัตว์
ประมงและป่าไม้ให้สามารถส่งออกขายยังต่างประเทศได้มากขึ้น
ก่อตั้งกิจการอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคโดยอาศัยภาคการเกษตรปศุสัตว์
ประมง และป่าไม้
ผลิตสินค้าที่สามารถทดแทนสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ขุดเจาะแร่ธาตุต่างๆเท่าที่จะทำได้
และบ่มเพาะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้วัตถุดิบดังกล่าว
ในการพัฒนาการผลิตได้อนุญาตให้บรรษัทต่างๆดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจโดยเอกเทศพร้อมกับมีการใช้มาตรการทั้งการให้รางวัลและลงโทษ
ในขณะที่รัฐบาลเพียรพยายามดำเนินการให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประสบผลสำเร็จนั้นพรรคแนวทางสังคมนิยมเมียนมา
(e,oN,kHC6biapN]0N],Nt0fNxj9u)
ก็ให้ข้อเสนอแนะเพื่อความสำเร็จของแผนพัฒนาและความเป็นอยู่อันสุขสบายของประชาชน
ในกิจกรรมทางการเกษตรและการปศุสัตว์ตามศักยภาพนั้นได้เผยศักยภาพประชาชนอย่างเป็นระบบในการเคลื่อนไหวและเสียสละแรงงาน
มีการดำเนินการให้สามารถรักษาตลาดข้าวในต่างประเทศพร้อมทั้งขยายการส่งออกข้าว
และเกษตรกรยังได้รับผลประโยชน์มากขึ้นจากการที่ราคาชื้อขายข้าวคุณภาพดีสูงขึ้น
ในด้านป่าไม้มีการดำเนินการขยายพื้นที่ป่าโดยมิให้มีการทำลายป่า
และขยายปริมาณการส่งออกยังต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังดำเนินการจัดแสดงอัญมณีเพื่อให้เป็นกิจการใหม่ทางเศรษฐกิจ
เข้าร่วมการแสดงสินค้าระดับโลก
และเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
ข้อมูลจากแบบเรียนประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น
๑๐
(วิรัช
นิยมธรรม แปล)