...เรากำลังเดินทางไปพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ตระการตาน่าอัศจรรย์ใจของศาสนสถานโบราณอายุนับ
พันปีซึ่งอยู่ ณ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap) หรือที่คนไทยเรียกว่า
"เสียมราฐ" ในประเทศกัมพูชา
ที่เสียมเรียบนี้มีปราสาทหินใหญ่น้อยอยู่ประมาณ๒๐๐แห่งสาเหตุที่มีปราสาทหินมากขนาดนั้นก็เพราะ
ที่เสียมเรียบนี้เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรขอมโบราณหลายสมัย
ได้แก่ เมืองพระนคร (ยโศธรปุระ) และเมืองพระนครหลวง (นครธม)
ในบรรดาปราสาทหินน้อยใหญ่เหล่านี้มีปราสาทหิน
ที่สำคัญสองแห่งที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลก แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศเดินทางมาเที่ยวชมมากมาย
จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของกัมพูชา นั่นคือ
ปราสาทนครวัด (Angkor Wat)
ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลกยุคปัจจุบัน
และปราสาทบายน (Bayon)
ขอกล่าวถึงคำสามคำที่คล้ายๆกันและอาจถูกนำไปใช้ปะปนกันได้ครับคือคำว่า
"Agkor", "Angkor Thom" และ "Angkor Wat"
สามคำนี้หมายถึงสถานที่คนละแห่งกล่าวคือ
"Angkor"
หมายถึงเมืองพระนคร หรือยโศธรปุระสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑
(ครองราชย์
ระหว่าง พ.ศ.๑๔๓๒-๑๔๕๓)
โดยมีภูเขาพนมบาแค็งจุดศูนย์กลางพระองค์โปรดให้สร้างปราสาทพนมบาแค็งอยู่บนยอดเขา
"Angkor Thom" หมายถึง เมืองพระนครหลวง หรือ นครธม
(ธมแปลว่าใหญ่) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า
ชัยวรมันที่ ๗ (ครองราชย ์ระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๕๘) โดยมีปราสาทบายน
(บรรยงค์) เป็นจุดศูนย์กลาง
นครธมเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีความยาวด้านละ ๓ กิโลเมตร
ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ๗
เมตรตั้งอยู่ภายในเมืองพระนครที่ผมกล่าวถึงข้างบนอีกที
ตรงกลางกำแพงแต่ละด้านมีประตูด้านละ ๑
ประตูทั้งสี่ทิศยกเว้นทิศตะวันออกมี ๒ ประตู
แต่ละประตูทำเป็นยอดรูปพรหมสี่หน้า ๓ ยอด
มีรูปสลักเทวดากับอสูรกำลังฉุดลากพญานาคขนาดใหญ่อยู่สองข้างทางเข้าประตูข้างละ
๕๔ รูป
"Ankor Wat" หมายถึงปราสาทนครวัดเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ตั้งอยู่นอกเมืองนครธมไปทาง
ทิศใต้ แต่อยู่ภายในเมืองพระนคร
เทวสถานแห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (ครองราชย์ระหว่าง
พ.ศ. ๑๖๕๖-๑๖๙๓) เพื่ออุทิศถวายพระวิษณุ (พระนารายณ)
์ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงมีชื่อเดิมว่า "ปราสาทวิษณุโลก"
ต่อมาภายหลังมีพระสงฆ์เข้ามาพำนักอยู่ จึงเรียกกันติดปากว่า
"นครวัด"
ปราสาทนครวัดเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุด สง่างามที่สุด
มีการวางผังและการจัดลำดับองค์ประกอบได้อย่าง
กลมกลืนลงตัวที่สุด
ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของการสร้างปราสาทหินของชาวขอมโบราณ
ความยิ่งใหญ่ของนครวัดจะเห็นได้จากคำกล่าวของอาร์โนลด์ ทอยน์บี
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษผู้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาทั่วโลกได้กล่าวไว้เมื่อมาเห็นนครวัด
ว่า "See Angkor Wat and
Die" หรืออังรี มูโอต์ (Henri Mouhot)
นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสก็ได้เขียนบรรยายถึงนครวัดที่เขาได้ไปเห็นในปี
พ.ศ. ๒๔๐๓ ไว้ในหนังสือเรื่อง "การท่องโลก" ว่า
"เป็นนฤมิตกรรมทางสถาปัตย์ซึ่งไม่อาจมีสิ่งก่อสร้างอื่น
ใดที่สร้างมาแล้วหรือที่จะสร้างต่อไปในโลกเสมอเหมือนได้อาจถือได้ว่าเป็นคู่แข่งของวิหารที่สร้างโดยกษัตริย์โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่
..."
นครวัดเป็นปราสาทที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
(นี่คือเหตุผลที่บรรดาทัวร์นครวัดทั้งหลายมักจะพา
ไปชมนครวัดในเวลาบ่าย
เพื่อให้แสงอาทิตย์ซึ่งมาจากทางทิศตะวันตกส่องกระทบตัวปราสาทได้เต็มที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายรูปนั่นเองครับ)
มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างราว ๑๓๐๐ เมตร และยาวราว ๑๕๐๐
เมตร มีคูน้ำขนาดกว้าง ๑๙๐ เมตร ยาวด้านละ ๑๙๐๐ เมตร
ล้อมรอบทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นด้านหน้าจะมีถนนข้ามคูน้ำกว้าง ๑๒ เมตร
ยาว ๒๐๐ เมตร ทอดตัวตรงเข้าไปสู่ใจกลางปราสาท
เมื่อเดินตามถนนข้ามคูน้ำเข้ามาแล้ว
ก็จะพบระเบียงหินรูปสี่เหลี่ยมกว้าง ๘๐๐ เมตร ยาว ๑๐๐๐ เมตร
ล้อมรอบตัวปราสาทตรงกลางเอาไว้
ที่ระเบียงด้านทิศตะวันตกนี้จะมีประตูใหญ่ ๕
ประตูซุ้มประตูทางด้านขวาประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์แปดกรขนาดใหญ่
เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูตรงกลางเข้ามาแล้วจะมีทางเดินใหญ่ความยาว๓๕๐เมตรตรงไปยังลานรูปกากบาท....
สองข้างทางเดินนี้จะมีสระน้ำขนาดใหญ่ยามเมื่อผิวน้ำนิ่งสนิทคุณจะเห็นเงายอดปรางค์ของปราสาทนครวัดสะท้อนลงบนพื้นน้ำได้อย่างชัดเจนทีเดียว
สุดทางเดินใหญ่นี้จึงถึงตัวปราสาทซึ่งตั้งอยู่บนฐานสูง
มีระเบียงล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ๓ ชั้นระเบียงชั้นนอกสุดกว้าง ๑๘๗
เมตร ยาว ๒๑๕ เมตร ตลอดผนังหินรอบระเบียงจะสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม
เป็นแผ่นภาพนูนต่ำสูงราว ๒ เมตร
มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระนารายณ์และอวตารปางต่างๆ ของพระองค์
รวมทั้งภาพขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ผู้สร้างปราสาทนครวัด
ซึ่งเปรียบพระองค์เองเป็นอวตารของพระนารายณ์ (พระวิษณุ) ด้วยเช่นกัน
ระเบียงชั้นที่สองอยู่ถัดเข้ามาด้านในกว้าง ๑๐๐ เมตร ยาว ๑๑๕ เมตร
มีปรางค์ ยอดหักอยู่สี่มุม ล้อมรอบระเบียงชั้นในสุด
ซึ่งตั้งอยู่บนฐานศิลา
มีบันไดสูงชันทอดขึ้นจากพื้นสู่ตัวระเบียงเบื้องบนแต่ละขั้นของบันไดนี้แคบมากจนต้องเดินขึ้นอย่างระมัดระวัง
มีปรางค์ขนาดใหญ่อยู่ที่มุมทั้งสี่ของระเบียงล้อมรอบปรางค์ประธานองค์กลางซึ่งสูง
๖๕ เมตร
ระเบียงชั้นนี้ถือเป็นที่ประทับของเทพเจ้าผู้ที่จะขึ้นมาบนระเบียงชั้นนี้ได้มีเฉพาะกษัตริย์กับนักบวชสมณศักดิ์ระดับสูงเท่านั้น
และเป็นบริเวณที่ทำพิธีสถาปนากษัตริย์ขึ้นเป็นเทพเจ้าด้วย
ลักษณะการก่อสร้างของปราสาทนครวัดเป็นการจำลองโครงสร้างจักรวาลตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ยอดปรางค์ ๕
ยอดตรงกลางเปรียบประหนึ่งยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลและเป็นที่สถิตของบรรดาทวยเทพทั้งมวล
ฐานปราสาทชั้นล่าง๓ชั้น หมายถึง ดิน น้ำ และ
ลม ซึ่งเป็นที่ตั้งเขาพระสุเมรุ ระเบียงล้อมรอบมีหลังคาซ้อนกัน ๗
ชั้นหมายถึง ภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุเป็นรูปวงแหวน ๗ ชั้น
ซึ่งแต่ละชั้นก็ถูกคั่นด้วยมหาสมุทรทั้งเจ็ด
คือคูน้ำรอบปราสาทนครวัดนั่นเองคติความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุนี้ไทยเราก็นำมาสร้างเป็นพระเมรุมาศ
และพระเมรุสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
ณ ทุ่งพระเมรุ (ท้องสนามหลวง)
และต่อมาก็สร้างเป็นเมรุเผาศพขึ้นตามวัดต่างๆ
ครับมีหลายคนถามว่าปราสาทนครวัดถูกสร้างขึ้นมาทำไม
และทำไมจึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศแห่งความตาย
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่านครวัดอาจเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระเจ้าสุริยวรมันที่
๒ ก็เป็นได ้จึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ส่วนการที่พระองค์ทรงสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ขึ้นมานั้นก็เพื่ออุทิศถวายแด่พระวิษณุ
(พระนารายณ์) ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่พระองค์ทรงเคารพบูชา
นอกจากนี้พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ยังแสดงพระองค์เองเป็นพระวิษณุ
จึงทรงได้รับพระนามหลังสวรรคตแล้วว่า"บรมวิษณุโลก"
ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์เสด็จไปรวมกับพระวิษณุและประทับอยู่ ณ
"วิษณุโลก" หรือทิพยวิมานบนสรวงสวรรค์ของพระวิษณุเทพ
แวดล้อมด้วยเหล่าเทพธิดามาร่ายรำขับกล่อมเทพธิดาเหล่านี้ก็คือรูปสลักอัปสรนครวัดจำนวน
๑,๖๓๕ นาง
ที่อยู่บนฝาผนังระเบียงและซุ้มประตูทุกชั้นและมีลักษณะหลากหลายไม่ซ้ำแบบกันเลยปราสาทนครวัดที่ยิ่งใหญ่จนได้รับการขนานนาม
ว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งหัศจรรย์ของโลกนี้ประมาณว่าใช้
เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๗ ปี คือตลอดรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒
นั่นเอง มีช่างควบคุมการก่อสร้าง ๕๐๐ คนใช้แรงงานถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน
พร้อมทั้งใช้ช้างลากหิน ๕,๐๐๐ เชือก
แพบรรทุกหินจากเขาพนมกุเลน(แปลว่าเขาลิ้นจี่)
ที่อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือกว่า ๖๐ กิโลเมตร
ล่องมาตามแม่น้ำเสียมเรียบถึง ๗,๐๐๐ แพ
ใช้ปริมาณหินหลายแสนลูกบาศก์เมตร คิดเป็นน้ำหนักหลายล้านตัน
จากทางเข้าปราสาทนครวัดขึ้นไปทางเหนือ
เราจะพบกับแถวรูปสลักเทวดากับอสูรกำลังฉุดลากพญานาคขนาดใหญ่อยู่สองข้างทางข้างละ
๕๔ รูป ทอดยาวประมาณ ๑๐๐
เมตรไปสู่ประตูขนาดใหญ่ที่มียอดรูปพรหมสี่หน้า ๓ ยอด
ประตูนี้เป็นประตูทางเข้าด้านทิศใต้ของนครธมหรือเมืองพระนครหลวง
ใจกลางนครธมเป็นที่ตั้งของปราสาทหินที่
"แปลกประหลาดน่าพิศวงงงงวยที่สุด" ในบรรดาโบราณสถานขอมทั้ง
หมดปราสาทแห่งนี้ คือปราสาทบายน (Bayon) ปิแอร์ โลตี
เขียนบรรยายถึงปราสาทบายนเมื่อแรกพบว่า
"ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่ซึ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนเป็นคนแคระ
และในทันทีทันใดนั้นเลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดเย็นแข็งขึ้นมาเมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่
กำลังมองลงมายังข้าพเจ้าแล้วก็รอยยิ้มอีกด้านหนึ่งเหนือกำแพงอีกด้านหนึ่งแล้วก็รอยยิ้มที่สาม
แล้วก็ที่ห้าแล้วก็ที่สิบปรากฏจากทุกสารทิศข้าพเจ้ามีความรู้สึกเหมือนมีตาคอยจ้องมองอยู่ทุกทิศทุกทาง"
ปราสาทบายนสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ซึ่งครองราชย์ในระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๕๘ ตัวปราสาท
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยปรางค์ใหญ่น้อยจำนวน ๕๔ ปรางค์
แต่ละปรางค์สลักเป็นรูปใบ
หน้าขนาดใหญ่อยู่ ๔ ทิศ เฉพาะปรางค์ประธานองค์กลางขนาดใหญ่สูงถึง ๔๒
เมตรนั้นมีรูปใบหน้าอยู่ทั้ง
๘ ทิศ รวมใบหน้าในปราสาทบายนทั้งหมดกว่า ๒๐๐ หน้า
นักโบราณคดีพยายามสันนิษฐาน ว่าใบหน้าเหล่านี้เป็นหน้าของใคร
ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาและทรงสถาปนาพระองค์เองเป็นพุทธราชาแห่งนิกายมหายานดังนั้นใบหน้าบนยอดปรางค์
ของปราสาทบายน
ก็คือพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์โลเกศวรที่มีพระพักตร์อยู่ทั่วทุกทิศทุกทาง
อีกนัยหนึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
อันแสดงถึงพระราชอำนาจของพระองค์ที่มีไปทั่วทุกสารทิศด้วยทรงถือว่าพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์บนโลกมนุษย์
ปราสาทบายนนี้ยังคงสร้างตามคติความเชื่อเรื่องโครงสร้างจักรวาลโดยปรางค์ประธานซึ่งอยู่ตรงกลางนั้นเป็นประดุจเขาพระสุเมรุศูนย์กลางแห่งจักรวาลนั่นเอง
นอกเหนือจากปราสาทบายนแล้ว
ภายในเมืองนครธมยังมีปราสาทหินและโบราณสถานอีกหลายแห่ง เช่น
ปราสาทตาพรหม
และปราสาทบันทายสรี
ปราสาทตาพรหม
เป็นปราสาทที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๑๗๒๙
เพื่ออุทิศ
พระราชกุศลถวายพระราชมารดาของพระองค์
มีจุดเด่นคือปกคลุมไปด้วยต้นไม้และรากไม้
ขนาดใหญ่มหึมาทำให้ยังคงสภาพเป็นธรรมชาติอยู่มาก
ปราสาทบันทายสรี
แปลว่า ป้อมแห่งสตรี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง
ห่างออกไปประมาณ๓๐กิโลเมตร สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๑๕๑๐
โดยพราหมณ์ยัชญวราหะเพื่ออุทิศถวายพระอิศวร เป็นปราสาทที่สร้างด้วยศิลาทรายสีชมพูแกะสลักเป็นลวดลายที่ละเอียดละออและงดงามที่สุดปราสาทแห่งนี้มีประตูซ้อนกันหลายชั้น
ยิ่งก้าวเข้าใกล้ตัวปราสาทเข้าไปเท่าใด
ประตูก็ยิ่งมีขนาดเล็กลงเท่านั้น