มหาวิทยาลัยไทยเจ๊งหมดแน่ ถ้า…….
ยังไม่รู้จักปรับตัว เพื่อเผชิญหน้ากับโลกที่ต้องแข่งขัน
และผู้ที่อยู่ชนะเท่านั้น
จึงจะได้อยู่รอดต่อไปเพื่อแข่งขันในสนามใหม่
ผู้เขียนมีความเชื่อว่าภายในไม่เกิน 10 ปี
เราคงจะได้เห็นมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศไทยไทยแข่งกัน ล้มละลาย
เป็นแน่
เมื่อกล่าวถึงแหล่งที่มีสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนี้
คงจะไม่พ้นที่ต้องกล่าวถึงประเทศออสเตรเลีย
เนื่องจากในแต่ละปีจะมีชนชาติต่าง ๆ
โดยเฉพาะชาวเอเชียไปร่ำเรียนศิลปวิทยาการจำนวนมาก
สร้างเงินตราและผลตอบแทนกลับเข้าประเทศนี้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
แต่มีกี่ท่านที่จะทราบว่า
กว่าประเทศนี้จะก้าวมาสู่การเป็นมหาอำนาจการส่งออกการศึกษาของเอเชียทัดเทียมมหาวิทยาลัยดัง
ๆ แถบยุโรป หรือ อเมริกา ได้ ก็ต้องผ่านมรสุม
และอุปสรรคมาไม่ใช่น้อย
และวัฎจักรเหล่านั้นก็กำลังเกิดในวงการอุดมศึกษาของไทยเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เราจะสามารถ
นำสิ่งดังกล่าวมาเป็นบทเรียนเพื่อพลิกวิกฤติการณ์เป็นโอกาส
ได้ดังประเทศดังกล่าวหรือไม่
วันนี้เมื่อ 15 ปีก่อน
(ประมาณปี 2533- 2534)
วงการอุดมศึกษาประเทศออสเตรเลียต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยส่วนหนึ่งถูกควบรวม เข้าด้วยกัน
มีการนำมิติในการประเมินผลงานที่เน้นต้นทุนและผลลัพธ์
มาใช้ควบคู่กับการจัดสรรผลงานโดยเน้นผลงาน
ที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม นวัตกรรมทางการศึกษาใหม่ที่เกิดขึ้น
คือ การส่งออกการศึกษา และการจัดการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ
ซึ่งสามารถสร้างรายได้อันดับต้น ๆ ให้กับประเทศจนถึงปัจจุบันนี้
นอกจากนั้นยังได้มีการให้ “บริการวิชาการ”
เพื่อนำรายได้ไปเสริมการดำเนินงานปกติอีกด้วย
มหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่ที่ได้รับการอุดหนุนบางส่วน หรือ
ทั้งหมดจากภาครัฐ จะยอมรับหรือไม่ก็ตามว่า
หากมีการประเมินผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
กันอย่างจริงจัง แล้ว จะตรวจพบว่า
ผลขาดทุนสุทธิสะสมที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินงานปกติ
(ไม่นับรวมยอดการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐ)
เพียงพอที่จะทำให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งพบกับวิกฤติทางการเงินในระยะยาวอย่างแน่นอน
และวิกฤติการณ์ดังกล่าวภาครัฐเองก็คงจะไม่สามารถช่วยเหลือเยียวยา
ได้พร้อม ๆกัน
โดยเฉพาะในยามที่รัฐบาลไม่ได้ร่ำรวยที่จะจุนเจือได้
ด้วยเหตุผลนี้ย่อมส่งผลสำคัญต่อความมั่นใจในคุณภาพของบัณฑิตนักศึกษาด้วย
มหาวิทยาลัยไทยปรับตัวให้อยู่รอดเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลียก็ได้
?
การลอกเลียนแบบของผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว
อาจจะดูเป็นเรื่องง่ายที่จะทำตาม
แต่ยังไม่เคยมีใครในโลกนี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
จากการเลียนแบบผู้อื่น
อาจมีความสำเร็จแบบฉาบฉวยปรากฎให้เห็นบ้างในระยะสั้น
เพราะผู้ที่ลอกเลียนจะไม่สามารถเข้าใจถึง แก่นแท้หลัก (Core competency)
ของผู้ประสบความสำเร็จ ที่มักจะไม่มีรูปรอย
ให้จับต้องสัมผัสได้
แต่สิ่งนี้เป็นพลังที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนอย่างมีพลวัตรให้องค์กรไปสู่ความสำเร็จ
เราอาจจะลอกเลียน แก่นแท้หลัก ดังกล่าวไม่ได้ก็จริง
แต่ก็ยังมีวิธีที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับมหาวิทยาลัยไทยได้
ด้วยการพัฒนาจากปัจจัยพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ในแต่ละสถาบัน
โดยมีแนวทางการพัฒนาดังนี้
1.
ต้องฉุดตัวเองออกจากกับดับความคิดเก่า
มหาวิทยาลัยของรัฐส่วนใหญ่
ยังมีความคิดที่ให้ความสำคัญเฉพาะสายการเรียนการสอน
ละเลยความก้าวหน้าของสายงานสนับสนุน
เป็นเหตุให้บุคคลากรส่วนใหญ่ในสายงานดังกล่าว
ขาดขวัญและกำลังใจ ถึง
แม้ว่าจะมีความพยายามจะสร้างมหาวิทยาลัยต้นแบบเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ
ก็ยังหนีไม่พ้นกรอบความคิดเดิมที่แบ่งแยกและให้ความสำคัญไม่เท่าเทียมกันของสายงาน
เหมือนระดับชั้นของน้ำกับน้ำมัน
จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มหาวิทยาลัยรัฐทั้งใหม่ และเก่า
จึงอยู่ในสถานะ เลี้ยงยังไงก็ไม่โตสักที
เพราะจะมีคนที่มีแรงเข็นต่อเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
2.
ประสานความร่วมมือให้เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก
เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย
เป็นเคล็ดลับสำคัญที่จะต้องบูรณาการทรัพยากรจากภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน
ทรัพยากรภายในที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มี คือ
ทรัพยากรความรู้ในบุคคลทั้งหมด
เพราะมหาวิทยาลัยคือแหล่งรวมผู้มีการศึกษาระดับสูงใหญ่ที่สุดแล้ว
หากพยายามประสานให้บุคลากรทุกหมู่เหล่าได้มาร่วมด้วยช่วยกัน คิดค้น
ค้นคว้า หารือ แลกเปลี่ยน
ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวเหมือนน้ำและน้ำนม
ความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจดังกล่าว
จะนำไปสู่การดึงดูดทรัพยากรภายนอกมาสู่ภายใน
ได้โดยไม่ยากเย็นนัก
3.
การพัฒนาโครงสร้างและระบบองค์กรให้มีชีวิต
มีความยืดหยุ่น มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ
ตลอดเวลาสอดคล้องไปกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่น การเปิดหลักสูตรใหม่ ๆ
ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความจำเป็นของธุรกิจ
แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง
จะต้องสร้างสถานะที่โดดเด่นจากทรัพยากรหลักที่แอบแฝงอยู่
และยากที่จะลอกเลียนแบบ คือ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้ที่หลากหลาย
สามารถยืดหยุ่นในการทำงานฝ่ายต่าง ๆ ได้ นั่นคือ
จะต้องมีการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรขึ้นมาใหม่
4.
การให้สังคมได้มีส่วนร่วมในการประเมินผลการบริหารจัดการ
มหาวิทยาลัยต่าง ๆควรให้บุคลากรภายในและภาคประชาชน
ได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอ และประเมินผลงานการบริหาร
ผู้บริหารทุกคนจะต้องมีการทำสัญญา มีเงื่อนไขการจ้าง
และเลิกจ้างที่ชัดเจน มีตัวชี้วัดผลงานที่เข้าใจง่าย
ถ้าทำได้อย่างนี้ มหาวิทยาลัยก็จะได้ผู้บริหารที่มีฝีมือ
มีความสามารถที่แท้จริง ไม่สามารถเล่นพรรค เล่นพวก
ผ่านกลไกภายในได้อีกต่อไป
เพราะสังคมได้คอยตรวจสอบติดตามอยู่เสมอ
ไม่มีความเห็น