THM = Total Healthy Management
แนวคิดการจัดการสร้างสุขภาพทั่วทั้งองค์กร
(Total Healthy Management:
THM) เพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิต (Quality of
Life) โดยต้องสร้างสุขภาพหรือทำให้เกิดสุขภาวะทุกคน ทุกงาน
ทุกที่และทุกเวลา เป็นลักษณะ Health for
All, All for Health
แนวคิดหลัก(Core concepts)
ของการจัดการสร้างสุขภาพทั่วทั้งองค์กร อธิบายในรายละเอียด
ดังนี้
1. Focus on
Health(มุ่งเน้นสุขภาวะ) เน้นด้านสุขภาพแบบองค์รวม(Holistic
Approach)คือต้องมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย(Physical)
จิตใจ(Mental) สังคม(Social)และเชาว์ปัญญาหรือจิตวิญญาณ (Spiritual)
ในเรื่องมุ่งเน้นสุขภาพสำคัญมากเพราะต้นตอปัญหาสังคมไทยส่วนใหญ่มาจากวงจรโง่-จน-เจ็บ
โดยที่เรื่องเจ็บจะเป็นเรื่องของสุขภาพ
ถ้าเจ็บป่วยก็มีผลให้โง่หรือจนได้
การมองเรื่องสุขภาพไม่ควรมองที่เจ็บป่วยหรือทุกขภาวะ(illness)แต่ต้องมองที่สุขภาพหรือสุขภาวะ(Health)
ต้องรู้จักคนไม่ใช่ไข้
2. Strategic
driven(นำพาด้วยกลยุทธ์)
ต้องขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ไม่ใช่ขับเคลื่อนด้วยโครงการเด่นหรือโครงการนำร่อง(Pilot
project)เพราะจะยั่งยืนและไปได้ทั้งองคาพยพหรือทั้งองค์กร
เนื่องจากทุกส่วนในองค์กรมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเป็นระบบ(System
Approach)
เมื่อขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์จะสามารถเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกันได้
การขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ดีต้องมีผู้นำที่มองการณ์ไกล(Visionary
Leadership)
มีความคิดและมุมมองเชิงระบบ(System
perspective)และเจ้าหน้าที่ที่มีความตื่นตัวสูงต่อการตอบสนองความต้องการของประชาชน(Agility)
เรียกง่ายๆว่าทำเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ยุทธวิธี
3.
Empowerment(ฉุดด้วยการเสริมพลัง)
เป็นการเสริมพลังหรือให้อำนาจหน้าที่แก่บุคคลที่จะตัดสินใจและกระทำการอย่างเหมาะสมในสิ่งที่เขาเกี่ยวข้อง
ซึ่งในการเสริมพลังด้านสุขภาพ(Health Empowerment)
นั้น John
Hubleyได้กล่าวไว้ว่าต้องทำให้บุคคลมีความเชื่อมั่นในตนเองหรือตระหนักในคุณค่าของตนเองว่าทำได้(Self
efficacy)และมีความเข้าใจและทักษะชีวิต(Health
Literacy)จึงจะสำเร็จ
ในการเสริมพลังนี้ต้องให้แก่ชนทุกหมู่เหล่าเพราะสุขภาพดีไม่มีขาย
ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง
ทุกคนในสังคมต้องสร้างสุขภาพตัวเองโดยได้รับการเสริมพลังอย่างเหมาะสม
4. Citizen and
Community focus(มุ่งหวังประชาชนและชุมชน)
มุ่งเน้นที่ชุมชนและประชาชนทุกกลุ่มที่รับผิดชอบ
อาจแบ่งเป็นกลุ่มปกติ(Healthy) กลุ่มป่วย(Patient)
กลุ่มเสี่ยง/พิการ/ด้อยโอกาส(Risk)
และอาจแยกกลุ่มเจ้าหน้าที่และญาติ(Staff)มาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้
มีความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม (Community &Social
Responsibility) มีข้อมูลข่าวสาร(Data
&Information)ที่ครบถ้วนเกี่ยวกับประชาชนกลุ่มต่างๆเพื่อที่จะสามารถวางแผนที่จะดูแลแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม
คือมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
5.
Service and Process Management(เปี่ยมล้นการจัดการ)
มีการจัดการกระบวนการและบริการที่ดี
ต้องเน้นการจัดการเพราะที่ใดก็ตามเมื่อมีคนอยู่หลายคนต้องมีการจัดการที่ดีด้วยโดยครอบคลุมหน้าที่หลักทางการจัดการ
4 ประการคือ Planning กำหนดสิ่งที่ต้องการบรรลุ
กำหนดวัตถุประสงค์และขั้นตอนที่จะบรรลุผล
Organizing จัดสรรทรัพยากร
จัดกิจกรรมของแต่ละคนและกลุ่มเพื่อปฏิบัติตามแผน
Leading
กระตุ้นความกระตือรือร้นของคนในองค์การให้ทำงานหนักเพื่อบรรลุแผนงานที่สำคัญ
Controlling ตรวจสอบ ควบคุม
ติดตามผลงานกับเป้าหมายและปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องที่อาศัยทั้งการประเมินผล(Evaluation)และการติดตาม(Monitoring)
ในด้านของการจัดการกระบวนการนั้นจะต้องวิเคราะห์ถึงกระบวนการที่แท้จริง
(Core process)ขององค์การที่ประกอบด้วย
-
การรับ มีการระบุสิทธิ
การจัดทำทะเบียนประวัติ
การส่งไปยังจุดบริการต่างๆ
-
การประเมิน
แยกกลุ่มว่าเป็นกลุ่มปกติหรือกลุ่มป่วย ที่มีความเร่งด่วนปกติ
ฉุกเฉินหรือวิกฤติ
-
การดูแล ที่มีตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ
ควบคุมป้องกันโรค
รักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพ
-
การจำหน่าย
ในลักษณะของการให้กลับบ้านได้หรือต้องส่งไปรักษาที่สถานพยาบาลอื่น
-
การติดตาม
มีทั้งการติดตามดูแลต่อเนื่องที่บ้านหรือชุมชน
การติดตามให้กลับมารักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลหรือการติดตามในรายที่ส่งไปรักษาต่อที่อื่น
ประเภทบริการ ในมุมกว้างโดยแบ่งบริการออกเป็น 3
ประเภทคือ
-
บริการรายบุคคล(Individual
service)
เป็นบริการที่เราให้แก่ผู้รับบริการเป็นรายบุคคลทั้งการรักษาโรคหรือการส่งเสริมป้องกันที่ให้เป็นรายบุคคล
เป็นตัวคนที่สามารถบอกความต้องการ(Customer requirement)
ของเขาต่อผู้ให้บริการได้
เช่นการรักษาโรครายบุคคล,การฝากครรภ์,การฉีดหรือให้วัคซีน
-
บริการรายกลุ่ม(Mass service)
เป็นบริการที่เราจัดให้แก่ประชาชนเป็นรายกลุ่มได้รับพร้อมๆกันในการให้บริการครั้งเดียว
มีตัวตน ไม่มีตัวแทนที่จะสามารถสื่อความต้องการให้เราทราบได้
เช่นการให้สุขศึกษารายกลุ่ม การให้คำปรึกษาเฉพาะโรครายกลุ่ม
การให้สุขศึกษาผ่านเสียงตามสายหรือผ่านสื่อมวลชนต่างๆ
-
บริการสังคม(Social service)
เป็นบริการที่เราพึงต้องระลึกถึงและทำให้เกิดแก่ชุมชนหรือสังคม
ที่ไม่มีตัวตนชัดเจน และไม่มีตัวแทนมาเจรจาความต้องการกับเราได้
แต่เราต้องทำให้
และผลดีอาจเกิดในอนาคตเช่นการไม่ปล่อยน้ำเสียลงสู่ชุมชน
การไม่ปล่อยให้ขยะติดเชื้อแพร่กระจายลงสู่ชุมชน
การให้วัคซีนโปลิโอ(เป็นการลดเชื้อโปลิโอในชุมชน)รวมทั้งการปฏิบัติตามจรรยาวิชาชีพ
มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ (Professional
Responsibility)และมีความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม(Community &
Social Responsibility)
องค์ประกอบของบริการ โดยบริการทั้ง 3
ประเภทนั้นจะมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
-
บริการซึ่งเกิดจากการปฏิบัติของบุคคลผู้ให้บริการ(Personalized
Service)
เป็นผลลัพธ์จากการปฏิบัติงาน(เทคนิคบริการและพฤติกรรมบริการ)ที่ผู้ให้บริการกระทำให้ผู้รับบริการ
เช่นการทำหัตถการของแพทย์หรือกริยาท่าทางคำพูดสีหน้าในการให้บริการ
-
บริการที่เกิดจากเครื่องมือสถานที่ที่เตรียมไว้ให้บริการ(Mechanized
Service หรือ Facility content in Service)
เป็นผลลัพธ์ของบริการที่เตรียมไว้อำนวยความสะดวกหรือประกอบในการให้บริการแก่ผู้รับบริการ
เครื่องมือ อาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศ
โดยที่เมื่อเสร็จสิ้นการให้บริการแล้วไม่ได้มอบให้ลูกค้าไปด้วย
-
ผลิตภัณฑ์ในบริการ(Product content in Service)
เป็นสิ่งที่ประกอบในการให้บริการและได้ส่งมอบให้แก่ผู้รับบริการไปด้วยเช่นยา,อาหาร,น้ำดื่ม,วัสดุการแพทย์
การบริการที่มีคุณภาพจึงเป็นการบริการที่มีเทคนิคบริการที่ถูกต้องและพฤติกรรมบริการที่สร้างสัมผัสที่เบิกบานนำไปสู่ประโยชน์และความสุขของผู้รับบริการจนเกิดเป็นความพึงพอใจ
เพราะได้รับการตอบสนองความต้องการ(Needs) และความคาดหวัง
(Expectations) โดยเป็นคุณลักษณะที่ทำให้ผู้รับบริการเกิดความรู้สึก 3
ประการในต่างวาระกันคือยอมรับ
เมื่อยังไม่ป่วยก็รู้สึกว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ดี
อยากได้
เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องการและเลือกมารักษาหรือมาใช้บริการ
ชื่นชม เมื่อมาใช้บริการแล้วก็รู้สึกว่าดีจริง
ยกย่องชมเชยว่าดี มีความประทับใจ
6. Creativity and
Innovation (สร้างสรรค์นวัตกรรม)
มีการเรียนรู้ของตนเองและองค์กร (Individual & Organization
Learning) ซึ่งจะสามารสร้างสรรค์นวัตกรรม
(Innovation)ให้เป็นสินทรัพย์ทางปัญญาขององค์กร(Intellectual
capital = Competency x Commitment)
ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์นั้น
การพัฒนาคุณภาพและการสร้างสุขภาพควรมีความคิดสร้างสรรค์ 4 แบบ
คือ
o
คิดเชิงบูรณาการ(Integrated Thinking ,Big picture)
มองภาพรวมให้ได้ มองเป้าหมายร่วม (Shared vision)ขององค์กร มองเห็นป่า
อย่าเห็นแค่เพียงต้นไม้ จะได้ไม่หลงป่า
o คิดเชิงระบบ(System
Thinking) มองเห็นภาพใหญ่
ภาพรวมอย่างเดียวไม่พอต้องเห็นความเชื่อมโยงของส่วนต่างๆด้วย
มองให้ออกว่าแต่ละส่วนต้องอาศัยกันและกัน ต้องพึ่งพากัน
มีผลกระทบต่อกันและกันอย่างไร
มองปัญหาอย่างรอบด้านและแก้ปัญหาที่ต้นตอของปัญหา(Root cause)
เวลาจะแก้ปัญหาจะได้ไม่มองด้านเดียว มุมเดียว
o
คิดเชิงบวก(Positive Thinking)
มองทุกอย่างในด้านดี มองคนอื่นในแง่ดี ยอมรับตนเอง
ยอมรับคนอื่น ยอมรับเพื่อนร่วมงาน
เหมือนที่เวลาเรามองน้ำในแก้วที่มีครึ่งแก้ว
ถ้าคิดเชิงลบก็จะคิดว่ามีน้ำคาครึ่งแก้วเอง
แต่ถ้าคิดเชิงบวกจะมองว่ามีน้ำอีกตั้งครึ่งแก้ว
ความคิดเชิงบวกจะทำให้เราเข้าใจคนอื่น ให้โอกาสตนเองและคนอื่น
ไม่ท้อง่าย ยิ่งเมื่อต้องทำงานเป็นทีม
ทำงานร่วมกับผู้อื่นยิ่งจะมีประโยชน์ เมื่อเราชวนคนอื่นทำงาน
แล้วเขาไม่ทำ ไม่ร่วมมือ ไม่ช่วย
ถ้าคิดเชิงลบเราก็จะมองว่าคนๆนั้นเลว ไม่ให้ความร่วมมือ
ไม่มีน้ำใจ แต่ถ้าเราคิดเชิงบวกเราก็จะพยายามเข้าใจเขาว่าที่เขาไม่ทำ
ไม่ร่วมมืออาจเป็นเพราะเขายังไม่รู้
ยังไม่เข้าใจหรือยังไม่พร้อม
การคิดแบบนี้จะทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นและบรรยากาศการทำงานในองค์กรจะดีขึ้น
o
คิดเชิงบุกหรือคิดนอกกรอบ(Provisional Thinking
,Lateral Thinking) เป็นการคิดในสิ่งที่ออกไปจากกรอบความคิดเดิมๆ
วิธีแก้ปัญหาเดิมๆ
ทำให้สามารถค้นพบสิ่งใหม่ๆหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ(นวัตกรรม)ได้
ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้มากขึ้น หลากหลายขึ้น
7. Teamwork and
Commitment (ทำด้วยทีมที่มุ่งมั่น)
สมาชิกทีมมีความมุ่งมั่น
เน้นการทำงานเป็นทีมที่สมาชิกทีมมีความรู้ความเข้าใจ(Competency)และมีความมุ่งมั่น(Commitment)
ในการทำงานเป็นทีมปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้คือมองสิ่งเดียวกันแต่เห็นหรือรับรู้แตกต่างกัน
จึงต้องมีการหาความเห็นร่วม
(Concensus)ที่เหมาะสมในลักษณะของการแสวงจุดร่วม
สงวนจุดต่าง ซึ่งจะเกิดได้ถ้าสมาชิกเปิดใจเข้าหากัน(Opened
mind) และมีเป้าหมายร่วมกัน(Shared vision)
ต้องเปลี่ยนการทำงานจากฉัน(ME)เป็นเรา(WE)
กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้(Individual
Learning)ทั้งส่วนบุคคลและทีม(Team Learning)
8. Participation
(สานฝันอย่างมีส่วนร่วม)
การมีส่วนร่วมของทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ป่วย เจ้าหน้าที่
ประชาชนและชุมชนได้ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมทำ
ร่วมประเมินผลและร่วมรับผิดชอบ
ร่วมเรียนรู้(Learning)ภายใต้บรรยากาศวัฒนธรรมประชาธิปไตย(Democratic
culture)คือให้เขาได้รู้จากข้อมูลข่าวสาร(Information)
ที่มีผ่านการสื่อสาร(Communication)ที่เหมาะสม
ใช้ข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจ(Management by Fact)
เอาความรู้(Evidenced-basde
Approach)ที่แต่ละคนมีมาวางรวมกันแล้วแก้ปัญหาภายใต้บริบทของสังคมตนเองเพื่อให้ปฏิบัติได้จริง
เป็นการการลงขันทางปัญญา(Knowledge sharing)
9.
Sustainability(รวมพลังอย่างยั่งยืน)
เน้นความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง การสร้างสุขภาพต้องอดทนนาน
เพราะเปรียบเหมือนการปลูกไม้ยืนต้น ไม่ใช่ผักชี
และเป็นการปลูก(เริ่มตั้งแต่ต้นเล็กๆมีรากแก้ว)
ไม่ใช่ฝัง(ขุดต้นใหญ่มาปลูก)
เป็นการพัฒนาที่เห็นผลช้าแต่ว่ายั่งยืน
ต้องช่วยกันพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความที่เห็นผลช้าทำให้หลายคนท้อง่าย
หมดแรงไปก่อนทั้งที่อาจจะอีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายอยู่แล้ว
การทำคุณภาพและสร้างสุขภาพจึงต้องมอง(คิด)ไกล
แต่ทำใกล้
ในเส้นทางที่ยาวไกลอย่างนี้เราจะมีกำลังใจได้เราต้องมีความปิติสุขกับความสำเร็จเล็กๆของงานที่เรากระทำ(Focus
on Result & Create value)
สะสมความสุขเล็กๆนี้ไปเรื่อยๆมันจะเป็นพลัง
การที่ผลช้าเพราะเราต้องทำให้เกิด
KAPหรือKSABในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่กว่าจะเห็นผลว่าสามารถสร้างสุขภาพหรือลดโรค
ลดอัตราป่วยได้อาจเป็น 5-10 ปี
กว่าจะทำให้รู้(Knowledge)มีทักษะ(Skill)มีทัศนคติเห็นคล้อยตาม(Attitude)จึงจะปฏิบัติได้เป็นพฤติกรรมสร้างสุขภาพ(Behavior)
และเมื่อปฏิบัติกว่าจะเห็นผลก็ต้องใช้เวลา ระยะหนึ่ง
คำสำคัญ (Tags): #kmกับคุณภาพ หมายเลขบันทึก: 14701เขียนเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2006 22:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 00:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น