การจัดการความรู้ช่วยกู้วิกฤตชาติ


ปัญหาของประเทศกำลังรุมเร้าเข้ามาหลายด้านอย่าปล่อยให้เป็นภาระของรัฐบาลหรือใครคนใดคนหนึ่ง

ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ทุกวันเวลาทุกลมหายใจเข้าออกของคนไทยทุกวันนี้ คงจะมีหลายคนที่ช่วยกันลุ้นไม่ให้เหตุการณ์บ้านเมืองของเราบานปลายหรือเลวร้ายลงยิ่งกว่านี้

ทันที่ที่มีข่าวว่าการชุมนุมที่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย หลายท่านคงถอนหายใจโล่งอกรวมทั้งตัวผมด้วย  เหตุผลเพราะว่าเราไม่อยากเห็นพี่น้องคนไทยต้องมาทำร้ายกันเอง  ส่วนวิธีการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีนั้นยังพอมีทางเลือกที่ปัญญาชนคนไทยทุกท่านสามารถจะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาของชาติในภาวะคับขันเช่นนี้ 

ฉะนั้นทางเลือกที่ว่านี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการจัดการความ (ไม่)รู้ ถามว่าจะทำอย่างไรและใครจะเป็นเจ้าภาพ  ในมุมมองของผมขอนำเสนอแนวทาง (How to) และถือโอกาสชี้แนะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพเป็นเรื่องๆไป ดังนี้

แนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติโดยใช้วิธีการจัดการความ (ไม่)รู้
       1) แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุ
       2) ปัญหาหนึ่งๆย่อมมีสาเหตุปัจจัยหลายสาเหตุ อย่าแก้ปัญหาแบบเหมาจ่าย
       3) จงอย่าแก้ปัญหาแบบลิงแก้แหแต่จงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาแบบปัญญาชน
       4) ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเก่งไปเสียทุกอย่าง ถ้าใครเก่งด้านใดก็ขอให้อาสาเข้ามาแก้ด้านนั้น
เรียกว่า "ทางใครก็ทางมัน"
       5) จากประวัติศาสตร์การแก้ปัญหาวิกฤตของชาติเริ่มต้นด้วยความขัดแย้งจบลงด้วยความร่วมมือ เป็นลักษณะของคนไทย "ถ้าบ้านเมืองสงบร่มเย็นมักจะหาเหตุขัดแย้งกันเอง" สุดท้ายก็หันมาสามัคคีปรองดอง แต่กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว
       6) การแก้ปัญหาทุกปัญหาจงคิดถึงใจเขาใจเรา , รู้เขารู้เรา แต่ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
       7) การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนไม่ใช่การปกปิดปัญหาแต่ต้องกล้าเผชิญกับปัญหาแม้ว่าบางครั้งอาจต้องผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกมา แม้ว่าจะเจ็บปวดก็ต้องยอม
      
สำหรับผู้ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือเป็น"เจ้าภาพ" ถ้าได้วิเคราะห์อย่างเป็นธรรมแล้วคงจะหนีไม่พ้นบุคคลดังต่อไปนี้
       1) ผู้ที่เป็นต้นตอ ก่อให้เกิดปัญหา (คงไม่ต้องให้ใครไปชี้)เพราะผู้ที่รู้ดีที่สุดคือตัวเราเอง
       2) ผู้ที่มีความรักความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง (ต้องการอาสาสมัครมากกว่าการบังคับ) เสมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เราสามารถกอบกู้เอกราชของชาติไทยให้กลับคือสู่อิสรภาพ ทุกครั้งทุกคราล้วนมาจากความกล้าหาญองอาจที่วีรชนคนกล้าของชาติทุกท่านได้แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วนั้น

ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกหมู่เหล่าไม่ว่าเด็ก เยาวชน แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่คนที่มีอำนาจวาสานาบารมีในผืนแผ่นดินนี้ต้องลด เลิกทิฎฐิ ละความเป็นอัตตา หันมาร่วมมือร่วมใจกันใช้แนวทางการจัดการความ(ไม่)รู้ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาวิกฤตของชาติอย่างสงบ ราบรื่น เรียบร้อยและยั่งยืนสืบไป

ปฐมพงศ์  ศุภเลิศ
   5 ก.พ. 49
      

 

   

หมายเลขบันทึก: 14472เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2006 20:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 13:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
ผมชอบใจที่ว่าการแก้ปัญหาบางครั้งต้องยอมเจ็บปวดบ้าง เพราะเวลาหมอผ่าตัด คนไข้ยังต้องเจ็บตัวเลย แต่สุดท้ายเยียวยารักษาถูกวิธีคนไข้ก็หายจากโรคได้
บางคนรู้ปัญหาแต่ไม่กล้าเผชิญความจริง สักวันหนึ่งน้ำลดตอต้องผุดแน่ๆครับ
ดิฉันอยากให้ผู้นำทุกหน่วยงานทุกองค์กรนำเอาแนวทาง"การจัดการความ(ไม่)รู้" ไปใช้บ้าง เชื่อว่าบ้านเมืองเราน่าจะดีขึ้น

โดยส่วนตัวผมคิดว่าธรรมชาติของคนไทยเวลาบ้านเมืองสงบลิ้นกับฟันย่อมกระทบกันเป็นธรรมดา ถ้าจะหันหน้าเข้าหากับ จับมือกันและอภัยให้กันพร้อมกับร้องเพลง "....ที่แล้วก็แล้วไป..."
อย่างนี้คนไทยทำได้ไม่ยาก ใช่ไหมครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท