องค์กรพุทธศาสนา
นับเป็นองค์กรหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการให้การศึกษาเพื่อพัฒนาคนในชุมชนให้มีความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับต้นจนถึงระดับสูงทั้งการศึกษาในระบบ
และการศึกษานอกระบบ
การศึกษาในระบบ
องค์กรทางพุทธศาสนา ได้จัดการศึกษาที่มีหลักสูตร การเรียนการสอน
การสอบความรู้เพื่อเลื่อนขั้น และใบรับรองการผ่านความรู้
ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปถึงระดับสูง สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ
การศึกษาสำหรับบุคคลทั่วไป และการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร
๑.
การศึกษาสำหรับบุคคลทั่วไป
การศึกษาสำหรับบุคคลทั่วไป
แบ่งการจัดการศึกษาออกเป็น ๔ ส่วนคือ ๑) การศึกษาปฐมวัย ได้แก่
ศูนย์อบรบเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด ๒) การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
คือการจัดการศึกษาให้แก่เยาวชนเพื่อเรียนพิเศษในวันอาทิตย์
นอกจากวิชาพระสายพุทธศาสนาแล้วยังมีวิชาเสริมอื่นอีกคือ ภาษาอังกฤษ
ภาษาไทย คณิตศาสตร์ เป็นต้น
การศึกษาชั้นนี้เป็นการศึกษาแบบให้เปล่า ๓)
การศึกษาพระปริยัติธรรม เฉพาะผู้ไม่ได้บวชเรียกว่า “ธรรมศึกษา”
การเรียนการสอนจะให้พระที่มีความรู้ความสามารถไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ
หรือไม่ก็จัดการเรียนการสอนในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่วัดอันเป็นศูนย์กลางของชุมชน
ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมของชุมชน ๔) การศึกษาระดับอุดมศึกษา
เป็นการศึกษาสำหรับผู้ที่ประสงค์จะเรียนพระพุทธศาสนาในเชิงลึก
ภายใต้การจัดการศึกษาโดยตรงของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง
มีตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท และเอก ปัจจุบัน
นอกจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง
ยังมีมหาวิทยาอื่นอีกที่เปิดให้เรียนพระพุทธศาสนาในเชิงลึก เช่น
หลักสูตรพุทธศาสน์ศึกษาในระดับปริญญาโท ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
ขณะที่มหาวิทยาลัยมหิดลกำลังทำหลักสูตรปริญญาเอกเกี่ยวกับพุทธศาสนาเช่นกัน
๒.
การศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร
การศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณรนี้
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ๑) ปริยัติธรรมแผนกธรรม แบ่งออกเป็น
นักธรรมชั้นตรี โท และเอก โดยเทียบให้ผู้จบนักธรรมชั้นเอกเท่ากับ ป.๖
๒) ปริยัติธรรมแผนกบาลี แบ่งเป็น บาลีประโยค ๑-๒ ป.ธ.๓ ป.ธ.๔ - ป.ธ.๙
โดยเทียบให้ผู้สอบผ่านปริยัติธรรมระดับ ๓ (ป.ธ.๓) เทียบเท่า ม.๓
ปริยัติธรรมระดับ ๕ (ป.ธ.๕)
มีประสบการณ์ทำงานโดยได้รับใบเทียบความรู้และปริยัติธรรมระดับ ๖
(ป.ธ.๖) เทียบเท่า ม.๖ และปริยัติธรรมระดับ ๙ เทียบเท่า ปริญญาตรี
(สาขาวิชาเอกภาษาบาลี) ๓) ปริยัติธรรมแผนกสามัญ
มีการจัดการเรียนการควบคู่กันไประหว่างวิชาสายสามัญและวิชาสายพุทธศาสนา
แบ่งออกเป็น ม.๑-ม.๖
เมื่อผ่านระดับ ม.๖ หรือเทียบเท่า
ผู้เรียนสามารถนำใบผ่านความรู้ไปสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่สูงขึ้นได้
ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก นอกจากนั้น
ความรู้ที่ได้จากการศึกษายังนำไปพัฒนาชีวิต ครอบครัว องค์กร
ประเทศชาติ โดยเฉพาะด้านคุณค่าทางจริยธรรมได้เป็นอย่างดี
การศึกษานอกระบบ
การศึกษานอกระบบ
สถานศึกษาที่สำคัญซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศคือ “วัด” มีมากกว่า ๓๑,๒๐๗ วัด
(ต่างประเทศประมาณ ๑๓๖ วัด)
และบุคลากรที่สำคัญในการให้ความรู้คือ “พระสงฆ์” การศึกษานอกระบบ
มีหลักสูตรใหญ่คือ “พระไตรปิฎก” อันเป็นคัมภีร์หลักทางพระพุทธศาสนา
ส่วนเนื้อหาของการเรียนรู้
ขึ้นอยู่กับพระสงฆ์จะเป็นผู้จัดการถ่ายทอดออกทางอักขรวิธีบ้าง
เทศนาวิธีบ้าง อย่างไรก็ตาม
การจัดการศึกษานอกระบบนี้ไม่มีการสอบความรู้เพื่อเลื่อนขั้นและไม่มีใบรับรองผ่านความรู้
หากแต่เป็นการเรียนรู้เพื่อฝึกฝนตัวเอง
การเรียนรู้เพื่อทำลายความไม่รู้
และการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนศรัทธา
การศึกษานอกระบบ อาจแยกผู้ศึกษาออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ ๑)
กลุ่มชาวพุทธ ที่ยังยึดมั่นในจารีต ประเพณี
และวัฒนธรรมความเป็นพุทธแบบไทย ๒) กลุ่มนักวิชาการ
อันประกอบด้วยคนนอกพระพุทธศาสนาและชาวพุทธที่ศึกษาจากสาขาวิชาอื่นๆ
และหันมาจับงานวิชาการด้านพระพุทธศาสนา
อันเป็นศาสนาตามความเชื่อของบรรพบุรุษ ทั้ง ๒ กลุ่มนี้
อาจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กลุ่มแรก อาจมองเพียง
การอุปถัมภ์บำรุง การอนุรักษ์ และการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา
ตามจารีตเดิม ส่วนกลุ่มหลัง อาจสงสัยในความเป็นพระพุทธศาสนา
เมื่อมีความรู้ความเข้าใจจึงนำหลักการทางพุทธศาสนาไปใช้กับเนื้องานที่ตนรับผิดชอบ
ไม่มีความเห็น