เรียนรู้ ๒๔ ชั่วโมง ตอนที่ ๑ รู้หน้าใช่ว่าจะรู้ใจ เห็นหน้าใสๆใช่ว่าจะใจดี


คนจะงามงามนำใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโต

วันนี้ต้องไปถ่ายเอกสารเกี่ยวกับวารสารกองทุนที่ร้านถ่ายเอกสารแถวท่าน้ำ จำนวน ๘๐๐ ชุด เพื่อแจกจ่ายสมาชิกเครือข่ายกองทุน คิดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงเพื่อดำเนินการ แต่เมื่อไปถึงร้าน ก็สอบถามเรื่องราคา และเวลาที่สามารถรับเอกสารกับพนักงาน เธอคนนั้นบอกว่านั่งรอรับได้เลยค่ะ แป๊บเดียว จริงๆก็สงสัยนะว่าจะเสร็จได้อย่างไร มันเยอะมาก ไหนจะต้องพับอีก นั่งคิดซักพักก็บอกว่าไม่รอ เพราะจริงๆแล้วมีธุระต้องไปทำซึ่งใช้เวลาพอสมควร เลยฝากทางร้านไว้

ผ่านไป ๒ ชั่วโมง กลับมาที่ร้านเพื่อรับเอกสารที่ถ่ายไว้ พบว่ายังไม่ได้พับเลยเนื่องจากเยอะมาก (คิดในใจกะแล้วต้องไม่เสร็จ) แสดงว่าสาวเจ้าคนถ่ายเอกสารคงยังไม่เคยเรียนรู้ว่าการถ่ายเอกสารพร้อมกับต้องพับเนี่ยใช้เวลานานขนาดไหน ในขณะที่นั่งรอก็ช่วยพับไปด้วยงานจะได้เสร็จเร็วขึ้น ตอนนั้นในร้านนั่งกันอยู่ ๔ คน น่าจะลูกจ้าง ๒ คนและเจ้าของ นั่งพับไปซักพัก ก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จูงน้องมาอีก ๒ คน ไม่รู้หรอกว่ามาทำอะไร เจ๊ที่เป็นเจ้าของร้านซึ่งเราเห็นครั้งแรกว่าหน้าตาน่ากลัวก็ถามเด็กด้วยเสียงอันดังว่า “ หนูมาเดินขอเงินอย่างนี้กับน้องๆไม่กลัวรถจะชนเอาบ้างหรือ” “หนูอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร” เด็กตอบว่า “อยู่กับแม่”  แม่ทำอะไร เด็กตอบอ้อมแมว่า “เลี้ยงยาย” “แล้วบ้านหนูอยู่ที่ไหน” อยู่ซอยอะไรไม่รู้ฟังไม่ชัดเพราะเสียงเด็กเบามาก น่าจะมาจากความกลัว เธอถามอยู่ซอยตาเคล็ดใช่ไหม เด็กก็ตอบว่า”ใช่ค่ะ” “แล้วมานี่แม่รู้หรือเปล่า รู้แล้วยังให้มาขอเงินอีกเหรอ ไม่กลัวว่าหนูกับน้องจะถูกรถชนหรือ หนูกลัวไหม”  เด็กว่า “กลัว” ด้วยน้ำเสียงเบาๆ ไม่รู้ว่ากลัวรถจะชนหรือกลัวคนถามกันแน่(นึกในใจ) จากนั้นเจ๊ก็ว่า “มีใครบังคับให้หนูมาทำอย่างนี้หรือเปล่า บอกป้ามา ผัวป้าเป็นตำรวจ เดี๋ยวจะเรียกไปจับให้” (เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ที่ได้ยินเมียตำรวจพูดจาไม่น่าฟังแต่ประทับใจในความมีน้ำใจดีขนาดนี้) บอกป้ามาเลยนะถ้าใครบังคับหนูมา จากนั้นหันไปบอกลูกน้องให้หยิบเงินให้ ๒๐ บาท เจ๊ก็นำเงินให้เด็กพร้อมทั้งกำชับว่า “กลับบ้านได้แล้ว ถ้าคราวหลังออกมาขอเงินอีกจะเรียกตำรวจมาจับนะ” หลังจากเด็กเดินจากไป ก็ได้ยินเจ๊พูดต่อเนื่องจาก ๘๐๐ ชุดไม่เสร็จซักที เจ๊ว่า “เนี่ยถ้าชั้นมีเวลาจะจับเด็กใส่รถ ไปดูหน้าแม่มันหน่อย ไม่ใช่ให้ลูกออกมาขอเงินแล้วตัวเองนั่งเล่นไพ่อยู่ที่บ้าน แม่จะเอาตำรวจไปจับให้ไม่เหลือดีเลย” แล้วหันไปบอกลูกน้องซึ่งหน้าตาเด็กๆหน่อย “เห็นไหมเนี่ยว่ามันเป็นปัญหานะมีลูกแต่ไม่มีปัญญาเลี้ยง ให้ออกมาเดินร่อนเร่หาเงินข้างถนนจะโดนรถชนตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ออกมากันจังลูกหนะ” เธอถ้าไม่พร้อมอย่าไปมีนะลูก เพราะจะทำให้เป็นปัญหาสังคม “ ถ้าคราวหน้ามาอีกจะให้พาไปที่บ้าน ถ้าลำบากจริงๆจะได้ให้กรมประชาสงเคราะห์เขาไปช่วยเหลือ” “ชั้นไม่ชอบเลย หรือถ้าไม่มีปัญญาเลี้ยงก็เอาเข้าไปศูนย์อุปถัมภ์เด็กแล้วค่อยไปเยี่ยมเรื่อยๆก็ได้ อย่างน้อยเด็กมันก็จะได้เรียน”
เป็นความประทับใจอย่างมากกับเจ๊คนนี้ แม้ท่าทางเธอจะโหดแต่ใจดีมาก คนอย่างนี้มีเยอะๆคงจะไม่มีปัญหาสังคมเรื่องเด็กเร่ร่อน เด็กถูกทิ้ง การทำแท้ง และอีกหลายๆปัญหามากมายเช่นทุกวันนี้”
หมายเลขบันทึก: 14421เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2006 07:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
ดีดี น่าสนใจ เขียนเรื่องเล่าได้ดี

เพราะเป็นเรื่องราวที่กระทบจิตใจมากเลยอยากเล่าเป็นประสบการณ์

ปากร้ายแต่ใจดี...และทีเจ๊พูดก็ถูกนะ..

จริงๆด้วยค่ะเดี๋ยวนี้มีเด็กออกมาเร่ร่อน  ขอตังเยอะเลยโดยมักจะให้เห็นผลว่าเอาตังไปกินข้าว 20บาท  หนูยังไม่ได้กินข้าว  อยากให้สังคมไทยในยุคปัจจุบัน  สนใจประเด็นปัญหาเหล่านี้ให้มาก  เพราะเด็กเปรียบเสมือนผ้าสีขาวอันบริสุทธิ์คอยให้ผู้ใหญ่ที่ดีมาแต่งแต้มสีสันอันสดสวยให้กับผ้าขาวผืนนั้น  แทนที่จะนำแต่สีดำมาแต่งแต้ม........

ทุกวันนี้ปัญหาของบ้านเมืองเราอยู่ตรงไหน เกิดเพราะอะไร แล้วปัญหาเป็นอย่างไร แก้ตรงไหนก่อน

คิดแล้วหาทางแก้ปัญหากันดีกว่า

บ้านเมืองไม่ได้มีปัญหา แต่คนในบ้านเมืองมีปัญหา

เพราะฉะนั้นต้องแก้ที่คน

คนมีปัญหาเพราะไม่มีหลักธรรม

หลักธรรมมีทุกศาสนาแต่มิได้ปฏิบัติ แล้วจะยังไงดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท