จะทำยังไงให้ลูกรักการอ่าน


รักการอ่าน

จะทำยังไงให้ลูกรักการอ่าน

     พอดีคุณNayong เข้าไปถามทิ้งไว้ในบล็อก พ่อผู้เคร่งเครียด ว่า

      "อยากถามอาจารย์กลับค่ะว่า  ทำอย่างไรให้ลูกรักการอ่านหนังสือค่ะ ตอนนี้11 เดือนค่ะ แต่ก่อนตอนพึ่งนั่งได้ก็จะเอาหนังสือการ์ตูนแล้วเล่าเรื่องให้เขา เดี๋ยวนี้ไม่เอาเลยไม่นิ่งไม่ดูแล้วค่ะ"

         ผมก็เลยมาคิดว่าเป็นคำถามที่น่าคิดมากครับทำยังไงให้ลูกรักการอ่านหนังสือได้ ผมว่ามันไม่มีทฤษฎีหรือแนวทางปฏิบัติที่ตายตัวครับ ผมก็เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์และเล่าเรื่องและประสบการณ์ที่ผมใช้ในครอบครัวผมให้ฟังครับ ซึ่งอาจจะได้ผลสำหรับครอบครัวนี้ แต่ว่าเมื่อไปอยู่อีกครอบครัวหนึ่งสถานการณ์อีกแบบหนึ่งอาจไม่ได้ผล แต่ก็เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันผมว่าการเลี้ยงลูกเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ

           ลูกผมคนโตน้องจาว่า อายุ 8 ขวบ อยู่ ป.2 ผมไม่ห่วงเค้าเรื่องการอ่านหนังสือแล้วครับเพราะเค้ารักการอ่านแล้วครับ ส่วนคนเล็กน้องจาเป่า 5 ขวบ อยู่อนุบาล 3 เมื่อก่อนก็เป็นกังวลครับว่าเค้าไม่สนใจอะไรเลยเหมือนจะขี้เกียจ และไม่สนใจการอ่าน แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วครับ เค้าเริ่มจะสนใจการอ่าน และเค้ามีความภูมิใจที่เค้าอ่านได้แล้วครับ

       ตอนเล็กๆ น้องจาว่าเค้าเขียนหนังสือไม่สวยครับ(ตอนนี้ก็ยังไม่สวยเหมือนเดิม) จำได้ตอนเข้าอนุบาล 1 คุณครูเค้าพยายามจะสอนให้เขียนหนังสือ แต่มือเค้ายังจับดินสอไม่ถนัดเลยครับ ผมก็เลยให้เค้าเขียนตามความสามารถเค้าครับโดยเขียนเย้ เกอย่างไรก็ปล่อยเค้าไปให้คุณครูได้เห็นความจริง แต่ผมก็ใช้วิธีไปซื้อสมุดวาดเขียนมาระบายสี ตอนแรกก็ให้ระบายไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจ พ่อช่วยบ้าง แม่ช่วยบ้าง ยายช่วยบ้าง มันกันไปทั้งครอบครัว ส่วนใหญ่สมุดระบายสีจะเป็นอุลตร้าแมนครับ เพราะเค้าชอบดูเป็นชีวิตจิตใจ แล้วพอต่อมาเค้าจะชอบวาดรูป ตอนแรกๆ เค้าวาดไม่ได้เค้าก็จะเคี่ยวเข็ญให้พ่อวาด พ่อก็ใช้วิธีเอากระดาษมาทาบแล้ววาดตามรูปที่เห็นลางๆ ที่บ้านผมจะมีบอร์ดสำหรับติดรูปครับ พอเค้าวาดรูปเสร็จเราก็เอาไปติดที่บอร์ดครับ 

 บอร์ดที่บ้านติดไว้ตรงทางขึ้นบันไดครับ

     ผมก็ไม่แน่ใจครับว่าลูกผมเริ่มรักการอ่านตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่สำคัญครับพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างให้ ตอนที่เค้ายังอ่านไม่ได้ผมก็จะใช้วิธีอ่านให้เค้าฟัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะบ่อยมาก คงหลายๆ สาเหตุด้วยครับ แต่ผมจะพาเค้าไปร้านหนังสือครับ ร้านประจำที่ไปก็คือร้านหนังสือที่โลตัส บ่อยที่สุด รองลงไปคือเสียงทิพย์ พอเค้าเข้าไปที่มุมหนังสือของเด็ก แล้วเค้าจะจมอยู่ตรงนั้นเลยครับ ทิ้งไว้เป็นชั่วโมงๆ ก็ได้ ส่วนพ่อก็จะไปมุมคอมพวิเตอร์ต่างคนต่างไป พอได้เวลาจ่ายตังค์เค้าก็จะมาตามครับ เราก็ดูหน่อยว่าเค้าเลือกอะไรมา ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นอุลตร้าแมนกับไดโนเสาร์ครับ ตอนนี้เค้าเปลี่ยนมาอ่านหนังสือผีเล่มละ 5 บาท <table align="left" border="0"><tr>

 

 ที่แปลกๆ กลัวเค้าอ่านแล้วเค้าจะกลัวผี ปกติเค้าจะเป็นคนกลัวผีครับ เข้าห้องน้ำก็ไม่ได้กลัว แต่กลัวก็ยังอ่าน ที่บ้านนี้ฝ่ายภรรยาผม เค้ากลัวผีกันทั้งบ้าน  แต่ปรากฎว่าการอ่านหนังสือผีกลับกลายเป็นการพัฒนาการใช้ภาษาไทยของลูกผมได้อย่างดีมาก คำยากๆ ที่น่าจะสะกดผิด เช่น คำว่า "ฆาตรกรรม " "มหันตภัย" น้องจาว่าเค้าเขียนได้สบายมากเลยครับ ผมก็เลยนึกถึงคำพูดเพื่อนที่บอกว่า หนังสืออะไรก็ได้ที่เค้าชอบอ่าน เหมาะสมกันวัยของเค้า ให้เค้าอ่านเถอะครับ

     สำหรับน้องจาเป่านั้นเค้าจะไม่เหมือนพี่ชอบแตกต่างกัน ตอนที่เค้ายังอ่านหนังสือไม่ได้นั้น คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเลือกหนังสือให้หน่อยครับ ผมเลือกหนังสือที่สำหรับเด็กหัดอ่านให้ คือเป็นนิทาน มีภาพประกอบ ตัวหนังสือตัวโตๆ จาเป่าเค้าอ่านได้นิดหน่อย แต่เค้าก็จะคุยอวดว่าเค้าอ่านคำนู้นได้ เค้ารู้ว่าคำนี้อ่านว่าอย่างไร ถ้าคำง่ายๆ ผมว่าเค้าอ่านได้ครับ แต่คำยากๆ เค้าใช้วิธีดูภาพแล้วเดาเอาว่าอ่านว่าอย่างไร เช่น เค้าเจอคำว่า รถ เค้ายังอ่านไม่ได้ แต่มันมีภาพรถอยู่เค้าก็เลยบอกว่าว่า รถ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไม่ขัดคอ เออออ ห่อหมก และชมเค้าด้วยนะครับ ว่าเค้าอ่านได้

 

</tr></table> อ่านได้ทั้งวี่ทั้งวัน ตอนแรกผมก็กลัวครับว่าเค้าจะมีอะไร

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่าใช้ได้ผลทีเกี่ยวกับการฝึกคำศัพท์ คือบ้านผมอยู่ไกลครับ ผมก็จะใช้เวลาในรถตอนกลับบ้านเล่นเกม อะไรเอ่ย แล้วให้เค้าตอบบ้าง เค้าเป็นคนตั้งคำถามบ้างเราตอบบ้าง พอเค้าตอบคล่องๆ แล้วก็ให้เค้าตอบเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เราก็แอบดูซะหน่อยว่าในช่วงชั้นที่เค้าเรียนมันมีคำศัพท์อะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น สัตว์ สิ่งของ ส่วนต่างๆของร่างการ เช่นทายว่า อะไรเอ่ย ตัวใหญ่มีงวง ห้ามตอบเป็นภาษาไทย ติ๊กตอก ๆ ๆ ถ้าเค้าตอบไม่ได้เราก็เฉลย แล้ววันหน้าก็ถามใหม่ ผมว่าได้ผลดีครับ เด็กๆ ก็ไม่ต้องคร่ำเคร่งอ่านหนังสือมาก เป็นการทบทวนไปในตัว

 ผมว่าน่าจะดีถ้า พ่อแม่ แต่ละครอบครัวจะได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันว่ามีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยให้ลูกรักการอ่านได้ เผื่อว่าจะได้ไอเดียไปลองใช้บ้าง

หมายเลขบันทึก: 14287เขียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2006 00:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ลูกสาวทั้ง 2 คน จะหัดอ่านจากคาราโอเกะค่ะ ตั้งแต่เล็กๆเลยค่ะ เพราะทั้งบ้านจะชอบร้องเพลงกัน คนโตจะเป็นแนวสตริง คนเล็กเป็นไทยๆ จะชอบลูกทุ่งแนวหวานๆ  ถ้าเดินทางไปใหนไกลๆ เค้าจะไม่เบื่อที่ต้องนั่งนานๆในรถ ก็เป็นการฝึกให้เค้าอีกทางหนึงค่ะ

อ่านจากคาราโอเกะ แสดงว่าเด็กๆ ต้องอ่านได้ไวมากเลยนะครับ แถมจังได้ร้องเพลงอีกดีจังครับ

อาจารย์หนึ่งค่ะขอท้าวความเดิมเลยนะคะครั้งที่แล้วมีเวลาเขียนน้อยเลยสั้น แรกๆเค้าก็จะอ่านได้เหมือนเด็กเล็กๆทั่วๆไป ก่อนหน้านี้เรียนอยู่ต้องอ่านงานวิจัยรูปแบบของบทเรียนการสอนมาก ก็พบบทเรียนที่เป็นคาราโอเกะ น่าสนใจนะเหมาะกับเด็กๆ ขณะนั้นลูกก็ยังเล็กมีปัญหาเรื่องการอ่านเหมือนกัน ก็สอดแทรกความสนใจ แบบไม่รู้ตัว  ชวนเค้าร้องเพลง ก็เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน บางครั้งเค้าจะจำเนื้อเพลงผิด ก็ด้วยความชอบ ลูกเค้าจะเปิดซ้ำๆ บ่อย เค้าจะอ่านเนื้อเพลงได้ถูกต้อง  แล้วยังส่งผลให้การพูดของเค้า มีสำนวนคำพูดแปลกๆ  เช่น มีคำคล้องจอง   ถ้ามีสุภาษิตคำพังเพยเชิงเปรียบเทียบที่แทรกอยู่ ถ้าไม่เข้าใจก็จะถามความหมายของคำนั้นๆ ก็เป็นการสอนการแนะนำไปได้อีก

ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ  ตอนนี้ก็พยายามอยู่ค่ะ  เขาเป็นเด็กไม่ค่อยอยู่นิ่ง  แต่เขาจะชอบฟังเพลง  ดูรายการทีวีที่มีเด็ก  ก็จะลองใช้ตัวนี้เป็นตัวฝึกให้เขาอ่านดูค่ะ  ได้ผลอย่างไรจะมารายงานนะคะ      

อ้อ ทิ้งท้ายหน่อยค่ะเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนที่มีลูกนะคะ  อยากขอความคิดเห็นหน่อยค่ะว่า  กำจัดอารมณ์ร้ายของลูกอย่างไรจึงจะเหมาะสม 

ที่ตั้งมานี้เพราะเจอกับตัวเวลาเขาไม่พอใจเขาจะไปหยิกหน้าคนนั้นค่ะ

อารมณ์โกรธของเจ้าหนูเป็นการแสดงออกที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการเจริญเติบโต ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด โดยมากจะเกิดขึ้นเพราะเจ้าหนูถูกห้าม ถูกขัดใจ หรือไม่ได้ดั่งใจ ประกอบกับเป็นการเรียนรู้ของเจ้าหนูเองว่า การแสดงความโกรธเป็นวิธีง่ายๆ วิธีหนึ่งที่เขาจะได้รับความสนใจ การเอาใจใส่และได้รับการตอบสนองความปรารถนาต่างๆ เขาจึงมักแสดงความโกรธด้วยการกรีดร้อง เตะต่อย ขว้างปาข้าวของ เมื่อรู้สึกไม่พอใจ ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้เจ้าหนูไม่สมหวังมากๆอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาก้าวร้าวจนเป็นนิสัยได้

คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันและช่วยแก้ปัญหาอารมณ์โกรธของเจ้าหนูได้ ด้วยข้อควรปฏิบัติง่ายๆ เพื่อช่วยให้เจ้าหนูควบคุมอารมณ์โกรธได้เสียที

1. สันติวิธี ถ้าเจ้าตัวเล็กของคุณเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย ทำร้ายคนอื่น เป็นนักทลายข้าวของตัวยง คุณอาจใช้การกำหนดขอบเขต (Time out) มาใช้กับเจ้าหนู ปล่อยให้เขามีเวลาสงบสติอารมณ์คนเดียวสักพัก หลังจากนั้นคุณควรตกลงกับเจ้าตัวน้อยด้วยสันติวิธีว่าพฤติกรรมใดเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ และพฤติกรรมใดเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่อย่าแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด โกรธ และตีลูกเสียเอง จะทำให้เจ้าหนูกลับคิดว่าคุณมีสิทธิตีลูก แต่จะมาห้ามเขาไม่ให้ทำร้าย ทำลายกันได้อย่างไร

2. การปลอบประโลม เพราะความโกรธของเจ้าหนูมักจะเกิดจากการถูกขัดใจ ถูกแหย่ให้โกรธ หรือเจ้าหนูเหนื่อย ง่วงนอน หรือความเครียดเพราะความเจ็บป่วย ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่สามารถปลอบประโลม โดยการเดินเข้าไปโอบกอด จับตัวเจ้าหนูมานั่งแล้วหอมแก้มเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “โอ๋...ไม่เป็นไรลูก” เพื่อสร้างความอบอุ่น และความเป็นมิตร และคุณควรพาเจ้าหนูออกจากสถานการณ์คับข้องใจเหล่านั้น แล้วเขาจะหายโกรธได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเจ้าหนูวัยนี้มักจะสนใจเหตุการณ์ต่างๆ ในระยะเวลาสั้นๆ เดี๋ยวเดียวก็ลืม

3. ความยุติธรรม ถ้าเจ้าหนูทะเลาะ แย่งของเล่นกับเพื่อน พี่ๆ น้องๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความยุติธรรม และรีบแก้ไขตัดสินความถูกต้องทันที ถ้าเจ้าหนูผิดต้องขอโทษ และให้คืนของเล่นคนอื่นไป หลังจากนั้นคุณก็เบี่ยงเบนความสนใจให้เขามาทำสิ่งอื่นแทน ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำอย่างนี้ทุกครั้ง ไม่ช้าเขาก็จะเรียนรู้ที่จะเคารพสิทธิส่วนตัวของผู้อื่น และเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาความโกรธโดยไม่ต้องใช้กำลัง

4. มีเหตุผล การที่เจ้าตัวน้อยจะควบคุมอารมณ์โกรธได้นั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องให้โอกาสเขาได้ฝึกการควบคุมอารมณ์ ในขณะเดียวกันต้องสอนและชี้แนะเมื่อเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะลูกไม่สามารถเรียนรู้การอดกลั้นอารมณ์ได้ด้วยตนเองทั้งหมด จึงจำเป็นที่คุณต้องแนะนำ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดทุกอย่างจนกลายเป็นการคาดหวังมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เจ้าหนูเกิดความเครียด เก็บกดมากยิ่งขึ้น ทำให้เซลล์สมองของเจ้าหนูขาดการพัฒนา และอาจมีปัญหาด้านนิสัยก้าวร้าวต่อไปในอนาคต

นอกจากวิธีควบคุมอารมณ์โกรธของเจ้าหนูข้างต้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจมีวิธีสยบอารมณ์โกรธด้วยเคล็ดลับส่วนตัว หรืออาจนำหลายๆ วิธีมาดัดแปลงผลัดใช้ร่วมกันได้ค่ะ

ขอฝากเพิ่มเติมหน่ะค่ะ

สอนให้ลูกชอบอ่าน นับเป็นสิ่งที่ดีมาก

 

หากสามารถสอนให้เค้ารู้จัก "คิดเป็น" ก็นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในเด็กสมัยนี้

 

มีทฤษฎี และงานวิจัย จิตวิทยาเด็ก เห็นไปในแนวเดียวกันว่า

 

ในเด็กวัย 7 ขวบขึ้นไป สามารถช่วยแนะนำให้เค้ารู้จัก  สงสัย -->"คิด"  --> หาคำตอบ จากสิ่งที่อ่าน ให้เค้ารู้จักการคิด หรือ การสรุปความ หรือ พูดถึงสิ่งที่ได้จากเรื่องที่อ่าน ก็จะช่วยให้การอ่านเกิดบูรณาการ และสมองก็ใช้งานได้อย่างเต็มที่ เพราะเด็กๆ เป็นวัยที่มีพลังทุกๆ ด้านเยอะ ทั้งทางกาย สมอง และจิตใจ ใช้ความซนของเค้าให้เกิดประโยชน์

 

พ่อ แม่ เป็นผู้จุดประกาย เติมเชื้อเพลิง ให้เค้าได้ใช้ศักยภาพในตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อเค้าโตขึ้นไปเรื่อยๆ เค้าจะเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีชีวิตที่มีความสุข สามารถแยกแยะสิ่งควร ไม่ควร ได้ดีกว่า เด็กที่ไม่ผ่านการฝึกใช้ "ความคิด"

 

บางครอบครัวมักมองและคิดว่า "เค้ายังเด็ก" ไม่ควรใส่อะไรให้เค้ามากนัก กลัวลูกเครียด แต่มีวิธีการมากมายที่สามารถสร้างแรงจูงใจ ให้เด็กๆ สนใจที่จะเรียนรู้ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย และหากเค้ารับไม่ได้ จะมีบางสิ่งแสดงออกมาให้สังเกตุเห็นได้

 

พ่อ-แม่ สมัยใหม่ กลัวลูกลำบาก เลยสั่งสมความสะดวก สบาย ให้เค้า จนกระทั่งวันนึง ที่เค้าต้องเผชิญ สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เค้าอาจกลายเป็นคนที่ไม่สามารถดึงศักยภาพในตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

 

สำหรับดิฉันเอง ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก สิ่งที่นำเสนอ อาจดูเป็นสิ่งไกลตัว  แต่อย่างไรก็ตาม หวังว่าคงมีบางประโยค ที่จะเป็นประโยชน์ สำหรับท่านที่ได้อ่าน

 

ขอเป็นกำลังใจให้คนมี "ลูก" ทุกครอบครัว ให้สามารถสร้างสรรค์ และส่งเสริม ให้เกิดศักยภาพในตัวลูกๆ เพื่ออนาคตที่ดีต่อไปของเด็กๆ นะคะ

 

 

ขอบคุณ คุณแก้มแหม่มครับที่นำสิ่งดีๆ มาฝากกัน ได้ความรู้ดีมาก หวังว่าวันหนึ่งคงมีบล็อกของคุณแก้มแหม่มมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ดีๆ นะครับ

ทำอยากไรจะลดการชอบเล่นของลูกชายได้ ลูกชาญชอบเล่นมาก เล่นของเล่น หรือชวนแม่ออกไปเล่นนอกบ้านหรือชอบเที่ยวห้างหยุดซื้อของเล่น หรือชอบหยุดกับร้านที่มีของเล่นมากๆ

ตอบคุณ ammythai

การเล่นคือประสบการณ์การเรียนรู้ของลูกครับ เด็กเล็กๆ เล่นของเล่นจากการใช้มือ ใช้ปากกัดของเล่นที่หยิบจับได้ โตขึ้นมาหน่อย ก็เล่น ตุ๊กตา เล่นหุ่นตัวการ์ตูนที่ดูจากทีวี การเล่นของเค้าก็คือการทำตามความฝัน และจินตนาการ เป็นการจำลองจิตนาการในโลกของเค้า

การที่เด็กซื้อของเล่น อย่าไปโทษที่เด็กครับ เป็นเพราะพ่อแม่เองไม่มีเวลาเล่นกับลูก จึงปล่อยลูกให้อยู่กับทีวี ทีนี้เค้าก็รับสื่อ รับของเล่นจากทีวี จากการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อขายของซิครับ ถ้าพ่อแม่ตัดความรำคาญ ใช้เงินซื้อของเล่นให้ เค้าก็จะติดวิธีการนี้ ผมลองทำของเล่นสมัยโบราณ เช่น ม้าก้านกล้วย ปืนก้านกล้วย โทรศัพท์ถ้วยกระดาษ ลูกๆ เค้าก็จะรบเร้าให้เราทำให้อีก เพราะเราเล่นกับเค้า ลูกเค้าอยากเล่นกับพ่อแม่อยู่แล้วครับ แต่พ่อแม่ล่ะอยากเล่นกับลูกหรือเปล่า

ผมว่าลองเปลี่ยนจากการซื้อมาเป็นทำของเล่นง่ายๆ แล้วเล่นด้วยกันซิครับ ดูซิว่าเค้าลดพฤติกรรมการซื้อลงหรือไม่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท