(30 ม.ค. 49) ระหว่างร่วมงาน “ศตสุวรรณกาล ธนาคาร 5
แผ่นดิน” (เฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 100)
ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่สาขาตลาดน้อย
(ซึ่งใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่แห่งแรกและใช้อยู่ประมาณ 63 ปี นับแต่
พ.ศ. 2451)
ได้มีผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งมาถามความเห็นของผมเกี่ยวกับการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น
ของท่านนายกทักษิณและครอบครัว
ได้ให้ความเห็นไปสั้นๆสรุปได้ดังนี้
1. เท่าที่ทราบข้อมูล
การซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น
คงจะเป็นไปตามกฎกติกาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
และของกรมสรรพากร (ในเรื่องภาษี) นั่นคือเป็นไปอย่าง
“ถูกกฎหมาย” ตามที่นายกฯพูดนั่นเอง
2. อย่างไรก็ดี การซื้อและขายที่โยงใยสลับซับซ้อนดังที่ปรากฎนั้น
เมื่อคำนึงถึง
(1) สถานภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พตท.ทักษิณ (2)
ความเกี่ยวพันกับเงื่อนไขการแสดงทรัพย์สินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่
พตท.ทักษิณ ยังติดพันอยู่ และ (3)
ความคาดหวังของสังคมเกี่ยวกับความสุจริตโปร่งใสและการมุ่งประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่มุ่งประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองหรือผู้บริหารประเทศ
แล้ว ก็ไม่เป็นการแปลกปลาดที่จะมีคนจำนวนมากเห็นว่า
การกระทำของท่านนายกทักษิณในเรื่องนี้
“ไม่เหมาะสม”
หรือ
“ไม่คู่ควร”
ซึ่งบางคนก็ใช้ถ้อยคำแรงกว่านั้นมาก
3. เมื่อท่านนายกทักษิณและครอบครัวได้กำไรจำนวนมหาศาลจากการขายหุ้นโดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้แม้แต่บาทเดียว
ทำให้สังคมรู้สึกว่า “ไม่เป็นธรรม” หรือ
“ไม่ชอบธรรม” หรือ
“ไม่เหมาะสม” หรือ
“ไม่น่าเป็นอย่างนี้”
(แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมายว่าด้วยการเสียภาษี) ทางหนึ่งที่ท่านนายกทักษิณ
จะพิจารณาทำได้ คือ ตั้งมูลนิธิเพื่อสังคมด้วยเงินสักประมาณ 20,000
ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับค่าภาษีที่สังคมคาดหวังให้เสีย ด้วยวิธีนี้
สังคมจะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมว่าท่านนายกทักษิณยินดีสละประโยชน์ส่วนตนให้เป็นประโยชน์ของสังคม
และท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เทียบได้กับนาย Bill Gates
อภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกและได้ตั้งมูลนิธิใหญ่ที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน
ซึ่งแม้บริจาคเงิน 20,000 ล้านบาทตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อสังคมแล้ว
ท่านนายกฯและครอบครัวก็จะยังเหลือเงินเกินกว่า 50,000
ล้านบาทซึ่งยังอยู่ในระดับ “อภิมหาเศรษฐี” อยู่ดี
การทำตามข้อเสนอข้างต้น น่าจะทำให้ (1)
ท่านนายกทักษิณมีความสุขใจ อิ่มใจ อันเนื่องจาก
“การสละให้” ของท่าน (2)
สังคมได้ประโยชน์จาการดำเนินงานของมูลนิธิ
(3) ประชาชนจำนวนมากคงพอใจหรืออาจถึงขั้นแซ่ซ้องสรรเสริญ
และ (4)
แรงกดดันต่างๆต่อท่านนายกฯคงจะลดลงไปพอสมควร
สรุปแล้วน่าจะเป็นผลดีต่อหลายๆฝ่ายและในหลายๆด้าน
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
30 ม.ค. 49
ได้อ่าน หรือได้ฟัง ที่อาจารย์เขียน/พูดทีไร รู้สึกใจสงบ
ไม่มีความระคายหรือโกรธเคือง เหมือนบทความ
ที่คนอื่นๆ เขียนเลย
ุนายกทักษิณ น่าจะได้มาอ่านบทความนี้เป็นอย่างยิ่งครับ
สวัสดีครับท่าน
ขอบคุณครับ