เล่าต่อนะครับฟ้า
ด้วยความที่เป็นคนขี้สงสัย ผมจึงมีประเด็นสะกิดใจอยู่เล็กน้อย
อันแรกคือ
ผลสำรวจนี้ตั้งสมมติฐานว่าคนที่ถูกสำรวจในประเทศไทยทั้งหมดเป็นคนไทย
จึงนำไปสู่ข้อสรุป (key findings) อันหนึ่งที่ว่า "A large majority
of Thai adults are potential entrepreneurs."
ถึงกับมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีให้ความเห็นในที่ประชุมกล่าวว่า
นี่ก็แสดงว่าเราสามารถไปสู้กับกลุ่มพวกวัฒนธรรมใช้ตะเกียบ (จีน เกาหลี
ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ) ได้
ตัวรายงานเองก็ถึงกับผูกโยงการวิเคราะห์ไปถึงรากฐานทางสังคมและวัฒนธรรม
แต่ผมไม่สามารถเห็นข้อมูลดิบจึงไม่อาจแน่ใจว่า ผู้สำรวจ (ซึ่งดูเหมือนเป็นบริษัทฝรั่งที่มารับช่วงอีกที) "เลือก" สำรวจเฉพาะ "คนไทย" จริง ๆ หรือสุ่มสำรวจ หรือสุ่มและมีการเก็บข้อมูลเชื้อชาติ สัญชาติไปด้วย
ไม่ใช่ว่ากำลังจะตั้งประเด็นชาตินิยมนะครับ แต่ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าคนไทยจริง ๆ มีความเป็นผู้ประกอบการพุ่งขึ้นสูงปรี๊ดอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เหตุผลก็เพราะว่าประเทศของเราเป็นระบบเศรษฐกิจที่เปิด ใครจะเข้ามาเปิดกิจการค้าขายอะไรก็ทำได้โดยสะดวก ไม่ต้องพูดถึงคนไทยเชื้อสายจีนที่เพิ่งฉลองตรุษจีนกันไปนะครับ เพราะว่าส่วนใหญ่เราผนวกรวมกันเป็นคนไทยไปเกือบหมดแล้ว (ซึ่งฟ้าคงเห็นด้วยว่าวัฒนธรรมตะเกียบนี่แหละ ที่เป็นฐานอันหนึ่งของเศรษฐกิจบ้านเรามาแต่ไหนแต่ไร) แต่ผมหมายถึงคนต่างชาติที่เกิดในต่างประเทศ พูดภาษาต่างประเทศ และเข้ามาเมืองไทยเพื่อทำธุรกิจโดยเฉพาะ และการอยู่พำนักอาศัยเป็นเพียงผลที่เกิดตามมาชั่วคราว หากเอาความรู้สึกและประสบการณ์เป็นตัววัด คนเหล่านี้มีไม่น้อยนะครับ ผมมีเพื่อนชาวญี่ปุ่นรุ่นราวคราวเดียวกันที่เข้ามาเปิดบริษัทในเมืองไทย จากสำนักงานคูหาเดียวแถวหลักสี่ ตอนนี้เิปิดออฟฟิศอยู่ที่ตึกใหญ่ที่สีลมแล้ว เพื่อนอเมริกันก็ไปเปิดกิจการที่ภูเก็ต เพื่อนอิตาเลียนที่เกาะพีพี ฯลฯ
คือเห็นด้วยว่าระบบเศรษฐกิจบ้านเราคงจะเอื้อต่อการริเริ่มธุรกิจใหม่ แต่คนของเราใ้ช้โอกาสนั้นจริงหรือเปล่า หรือว่าคนต่างชาติใช้โอกาสนั้นได้มากกว่า ผมไม่รังเกียจเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติเหล่านั้นเลย ดีใจด้วยซ้ำที่พวกเขามาสร้างเศรษฐกิจของเราให้งอกเงย แต่ผมอยากรู้ เพราะมันเกี่ยวพันกับความสามารถระยะยาวของเราเอง หรือความยั่งยืนของการเรียนรู้ทักษะเรื่องนี้มากกว่า เป็นคำถามว่าความเก่งนั้น "ชั่วคราว" หรือ "ถาวร" ก็คงว่าได้ (แต่อาจมีคนแย้งว่า ทีบริษัทของเราเองที่เกีี่ยวกับความมั่ีนคงแท้ ๆ ยังขายให้สิงคโปร์ได้ในชั่วข้ามคืน อันนี้ก็พูดไม่ออกเหมือนกันครับ)
ในทางตรงข้าม ผมก็มีเพื่อนที่ไปประกอบธุรกิจได้ดิบได้ดีในสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนที่ค้าขายสินค้าไทยผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช่น อีเบย์ พวก "คนไทย" เหล่านี้จะวิเคราะห์ด้วยการสำรวจชุดนี้ว่าอย่างไร เพราะนี่คือ "ความเก่ง" ของคนไทยจริง ๆ แต่การประกอบการกลับไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย
อีกประเด็นหนึ่งที่สงสัยก็คือ ผลการศึกษาบอกว่า "คนไทย" 51% กลัวความล้มเหลว (fear of failure) และัตัวเลขนี้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ตัวเลขนี้บอกอะไรเรา?
ผมคิดว่าบอกอะไรไม่มากนัก เพราะว่าเป็นเพียงความรู้สึกขณะถูกถาม ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ทำ หรือทำธุรกิจที่เขาตั้งใจ น่าจะถามว่า "คิดว่ากลไกของสังคมยอมรับผู้ประกอบการที่ล้มเหลว และเอื้อให้กลับเข้ามาแก้ตัวใหม่มากน้อยแค่ไหน" ผมเคยทราบมาว่า สังคมอเมริกันให้โอกาสคนที่ล้มแล้วได้ลุกขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นตรงกันข้าม และนี่คืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่กล้าริเริ่มธุรกิจใหม่ ในเมืองไทยเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับที่อื่น?
ก็เอามาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นแหละครับ คงไม่ถึงกับลุกขึ้นมาสำรวจเองในเร็ว ๆ นี้แน่นอน
หลักสูตรการขายสินค้าบนอีเบย์ 3 วันเต็มๆ ราคาสุดพิเศษ
หลักสูตรการขายสินค้าบนอีเบย์และวิธีการชำระเงินออนไลน์
รายละเอียดหลักสูตร
- ทำความรู้จักกับอีเบย์และเพพาล
-
การลงทะเบียนเป็นผู้ซื้อและผู้ขายในอีเบย์
-
การทดลองซื้อสินค้าในอีเบย์
- การขายสินค้าบนอีเบย์
- การลงทะเบียนเพพาล
- การ verify
บัญชีเพพาลของคุณ
- การลงทะเบียนบัญชีธนาคารกับเพพาล (
เพื่อเอาไว้ถอนเงินออกมา)
- การสมัครบัตรเครดิต virtual credit card
(สำหรับผู้ไม่มีบัตรเครดิต)
-
การบริหารจัดการบัญชีอีเบย์ของคุณ
-
การบริหารจัดการบัญชีเพพาลของคุณ
-
การเรียกเก็บเงินและส่งสินค้า
- เรียนรู้กฎ - กติกา -
มารยาท
- เทคนิคและเคล็ดลับ
- การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
หลักสูตร 3 วัน เรียนทั้งสิ้น 3 ครั้ง
ค่าธรรมเนียมการเรียน 1,550 บาท(ประกอบไปด้วย)
- สินค้าสำหรับขายบนอีเบย์ 1 ชุด (
พลอย)
- บัตรเครดิตการ์ด 1 ใบ ( Virtual Credit
Card)
- เอกสารประกอบการเรียน 1 ชุด
0 9219 5461 หรือ E-mail : [email protected]
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.thaismecenter.info/ebay/