สืบเนื่องจากการที่ข้าวขวัญคิดไว้ว่า เรามีเกษตรกรนักเรียนชาวนาที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การยกย่องอยู่หลายคนมาก และที่เรามีความตั้งใจจะนำเสนอในวาระนี้ ประมาณว่าไม่พูดถึงแล้วเราอาจจะรู้สึกผิดแบบเต็มๆ ก็คือ น้าสำรวย อินทร์บุญ (นักเรียนชาวนาบ้านโพธิ์) ผู้มีใบหน้าที่เปื้อนยิ้มรอต้อนรับใครต่อใครที่ผ่านไปทายทัก
น้าสำรวย อินทร์บุญ นักเรียนชาวนาในโรงเรียนชาวนาบ้านโพธิ์ (ตำบล บ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี) น้าสำรวยเริ่มสมัครเข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิข้าวขวัญเมื่อตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2547 ที่ผ่านมาไม่นานมานี่เอง แต่แม้จะเป็นนักเรียนใหม่ในโรงเรียนชาวนาบ้านโพธิ์ ทว่าน้าสำรวยมี ความสนใจ ตั้งใจ ขยัน และมุ่งใจอย่างจริงจังที่จะปรับกระบวนทัศน์การทำนา เพื่อทำนาแบบลดต้นทุนและทำนาแบบลดการใช้สารเคมี ซึ่งน้าสำรวยใช้ระยะเวลาที่ไม่นานนัก ก็สามารถปรับและเปลี่ยนได้ในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้ทั้งตนเอง สมาชิกในครอบครัว และทั้งเพื่อนๆญาติพี่น้องต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า น้าสำรวยเปลี่ยนไป และมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยสุขภาวะที่เติมเต็มเข้ามาสู่ชีวิตอยู่ตลอดเวลาเพราะน้าสำรวยสามารถลดต้นทุนการทำนาข้าว เดิมทีนั้นก็ไม่เคยจะรู้จักการทำบัญชีรายรับรายได้เกี่ยวกับการทำนาข้าวของตนเองมาก่อนเลย เป็นเช่นเดียวกับกรณีของป้าบังอรนั่นแหละ แต่ในภายหลังจากการที่ได้มาเป็นนักเรียนชาวนาแล้ว น้าสำรวยก็ได้รู้จักการจดบันทึกและการทำบัญชีอย่างง่ายๆด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ทราบถึงรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการทำนาข้าว แม้จะน่าเสียดายไปสักหน่อยที่ก่อนหน้านี้ (ก่อนที่จะมาทำนาข้าวปลอดสารเคมี) น้าสำรวยไม่ได้มีการจดบันทึกใดๆเลย นั่นก็ถือว่าไม่แปลกอะไร หากในภาวะปัจจุบัน ภาวะของการเป็นนักเรียนชาวนาของน้าสำรวยอีกคนหนึ่งแล้ว กระบวนการในโรงเรียนชาวนาทำให้ตัวของน้าสำรวยได้รู้จักปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์... นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี คนรู้ใจในครอบครัวของน้าสำรวยบอกกล่าวมาอย่างนั้น
คราวนี้มาพิจารณาดูการทำนาลดต้นทุนของคุณสำรวยกันว่า 1 ปีผ่านไป อะไรคือสิ่งที่น้าสำรวยได้เรียนไปและนำไปปฏิบัติจริงอย่างไร แปลงนาทดลองของน้าสำรวยจึงจะเป็นคำตอบที่สามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ที่แปลงนาข้าวนี้มีคำตอบ โดยไม่ต้องตั้งคำถามอะไร
ครอบครัวน้าสำรวยมีแปลงนาทั้งหมดจำนวน 4 แปลง โดยที่แปลงแรก มีพื้นที่จำนวน 3 ไร่ ส่วนแปลงที่ 2 มีพื้นที่ราวๆ 4 ไร่กว่าๆ ส่วนแปลงที่ 3 มีพื้นที่จำนวน 17 ไร่ และแปลงที่สุดท้ายมีพื้นที่จำนวน 6 ไร่ รวมทั้งหมดแล้วก็อยู่ราวๆ 30 ไร่ เมื่อกล่าวได้ว่ามีพื้นที่นา 30 ไร่นี้ จะเรียนรู้อย่างไร
เมื่อน้าสำรวยกลายมาเป็นนักเรียนชาวนาแล้ว ตามเงื่อนไขของการเรียนรู้อย่างนักเรียนชาวนานั้น จะต้องมีแปลงนาทดลองหรือแปลงนาปลอดสารเคมีจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้ในการทดลองและเพื่อการเรียนรู้ตามหลักสูตร น้าสำรวยจึงตัดสินใจเลือกแปลงนาที่มีพื้นที่จำนวน 3 ไร่ อยู่ติดกับหลัง ยกเป็นแปลงนานำร่องสำหรับ ลด – ละ – เลิก การใช้สารเคมี
น้าสำรวยกำลังเรียนรู้วิถีเกษตรชีวภาพจากโรงเรียนชาวนา และใน 1 ปีของการเป็นนักเรียนชาวนา น้าสำรวยจึงเลือกที่จะลดใช้สารเคมีบางตัวลงไป เลือกที่จะละแล้วเลิกใช้สารเคมีบางตัวไปเลย แล้วจึงไม่จำเป็นต้องซื้อสารเคมีที่เคยใช้อีกต่อไป บางตัวที่ยังต้องใช้อยู่ก็ลดปริมาณการใช้ ก็ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องซื้อหามาได้อยู่หลายสตางค์พอสมควร จะลดไปมากหรือน้อยต้องมาพิจารณาดูต้นทุนจากบันทึกรายรับรายจ่ายในช่วงระยะเวลา 1 ปี หรือ 2 รอบการทำนาดูกัน
บันทึกรายรับรายจ่าย รอบที่ 1 เดือนมีนาคม 2547 ดังนี้
แปลงทดลองที่ไม่ใช้สารเคมี จำนวน 3 ไร่ ปลูกข้าวพันธุ์หอมปทุม
รายจ่าย ดังนี้
1) ค่าจ้างรถไถ 390 บาท
2) ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว (ซื้อจากตลาด) 1,200 บาท
3) ค่ายาคุมหญ้า 250 บาท
4) ค่าจ้างคนงานฉีดยาคุมหญ้า 100 บาท
5) ค่าปุ๋ย (ปุ๋ยยูเรีย 48-0-0 ผสมปุ๋ยสูตร 16-20-0) 3 ถุง 1,380 บาท
6) ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าว ค่าแบกหาม และค่าจ้างรถเข็น 1,400 บาทรายรับ ดังนี้
1) ขายข้าวเปลือกได้ จำนวน 2 เกวียน 73 ถัง 16,160 บาทเมื่อมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อไร่แล้ว จึงได้
1) ต้นทุนเฉลี่ยต่อไร่ (4,720 บาท หาร 3 ไร่) 1,573.33 บาท
2) กำไรเฉลี่ยต่อไร่ (11,440 บาท หาร 3 ไร่) 3,813.33 บาท
บันทึกรายรับรายจ่าย ครั้งที่ 2 เดือนธันวาคม 2547 ดังนี้
แปลงทดลองที่ไม่ใช้สารเคมี จำนวน 3 ไร่ ปลูกข้าวพันธุ์หอมปทุม
รายจ่าย ดังนี้
1) ค่าจ้างรถปั่นนา 390 บาท
2) ค่าพันธุ์ข้าว (12 ถังๆ ละ 90 บาท) 1,080 บาท
3) ค่าปุ๋ย (ปุ๋ยยูเรีย 48-0-0 ผสมปุ๋ยสูตร 16-20-0) 2,220 บาท
4) ค่าจ้างคนงานฉีดยาสมุนไพร 300 บาท
5) ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าว ค่าแบกหาม และค่าจ้างรถเข็น 1,200 บาทรายรับ ดังนี้
1) ขายข้าวเปลือกได้ จำนวน 2 เกวียน 70 ถัง 16,160 บาทเมื่อมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อไร่แล้ว จึงได้
1) ต้นทุนเฉลี่ยต่อไร่ (5,190 บาท หาร 3 ไร่) 1,730.00 บาท
2) กำไรเฉลี่ยต่อไร่ (10,970 บาท หาร 3 ไร่) 3,656.67 บาท
บันทึกรายรับรายจ่าย ครั้งที่ 3 เดือนมีนาคม 2548 ดังนี้
แปลงทดลองที่ไม่ใช้สารเคมี จำนวน 3 ไร่ ปลูกข้าวพันธุ์สุพรรณ 60
รายจ่าย ดังนี้
1) ค่าจ้างรถปั่นนา 390 บาท
2) ค่าน้ำมัน (25 ลิตรๆ ละ 90 บาท) 350 บาท
3) ค่าพันธุ์ข้าว (12 ถังๆ ละ 90 บาท) 1,080 บาท
4) ค่าปุ๋ย (ปุ๋ยยูเรีย 48-0-0 ผสมปุ๋ยสูตร 16-20-0) 5 ถุง 2,060 บาท
5) ค่าจ้างคนงานฉีดยาสมุนไพร 300 บาท
6) ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าว ค่าแบกหาม และค่าจ้างรถเข็น 1,200 บาทรายรับ ดังนี้
1) ขายข้าวเปลือกได้ จำนวน 3 เกวียน 60 ถัง 20,520 บาทเมื่อมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อไร่แล้ว จึงได้ต้นทุนเฉลี่ย 1,793.33 บาท ต่อไร่ (5,380 บาท หาร 3 ไร่) และได้กำไรเฉลี่ยต่อไร่ 5,046.67 บาท (15,140 บาท หาร 3 ไร่)
เมื่อมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อไร่แล้ว จึงได้
1) ต้นทุนเฉลี่ยต่อไร่ (5,380 บาท หาร 3 ไร่) 1,793.33 บาท
2) กำไรเฉลี่ยต่อไร่ (15,140 บาท หาร 3 ไร่) 5,046.67 บาท
จากข้อมูลเบื้องต้นของการทำนาแบบลดต้นทุนโดยใช้สมุนไพรพื้นบ้านและฮอร์โมนแทนการใช้สารเคมี (ด้วยการลดสารเคมี) ในช่วงระยะ 1 ปี หรือนับได้ 3 รอบของการทำนาข้าว (นาปี – นาปรัง) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 จนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2548 พบว่า ผลผลิตที่ได้คือข้าวเริ่มได้ปริมาณเพิ่มมากขึ้น จากรอบที่ 1 (นาปี 2547) ได้ข้าวเปลือกจำนวน 2 เกวียน 73 ถัง รอบที่ 2 (นาปรัง 2547) ได้ข้าวเปลือกจำนวน 2 เกวียน 70 ถัง เมื่อพิจารณาดูใน 2 รอบแรกของนาปีนาปรังแล้ว จะเห็นได้ว่าปริมาณข้าวเปลือกที่ได้มีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน แต่ในรอบที่ 3 (นาปี 2548) ได้ข้าวเปลือกเพิ่มมากขึ้นโดยได้ถึง 3 เกวียน 60 ถัง ซึ่งปริมาณข้าวเปลือกที่ได้ในรอบที่ 3 นี้ สอดคล้องกับปริมาณที่เคยมาก่อน (ก่อนที่เข้ากระบวนการ ลด – ละ – เลิก การใช้สารเคมีในนาข้าว) ซึ่งเคยได้มากถึง 3 เกวียนกว่าๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านๆมา (หรือก่อนปี พ.ศ.2547 หรือก่อนการทำนาแบบลดต้นทุน)
รอบที่ |
ปริมาณข้าวเปลือก ที่เก็บเกี่ยวได้ |
รายจ่าย |
รายรับ |
กำไร เบื้องต้น |
ต้นทุนเฉลี่ย ต่อไร่ |
กำไรเฉลี่ย ต่อไร่ |
1 มี.ค.47 |
2
เกวียน 73 ถัง |
4,720.00 |
16,160.00 |
11,440.00 |
1,573.33 |
3,813.33 |
2 ธ.ค.47 |
2
เกวียน 70 ถัง |
5,190.00 |
16,160.00 |
10,970.00 |
1,730.00 |
3,656.67 |
3 มี.ค.48 |
3
เกวียน 60 ถัง |
5,380.00 |
20,520.00 |
15,140.00 |
1,793.33 |
5,046.67 |
ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าวนี้
จึงทำให้สามารถพบข้อสรุปในเบื้องต้นได้ว่า
การทำนาแบบลดต้นทุน และลดการใช้สารเคมีนั้น
สามารถให้ผลผลิตได้ในปริมาณที่ไม่แตกต่างกับการทำนาแบบใช้สารเคมี
แม้ว่าในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนจะทำให้ได้ปริมาณที่ต่ำกว่าที่เคยได้ก็ตาม
แต่ทว่าผลผลิตที่ได้ในระยะยาวต่อไปจากนี้
จะทำให้น้าสำรวยไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาสารเคมีอีกต่อไป
และไม่จำเป็นต้องซื้อหรือพึ่งพาผลิตภัณฑ์สารเคมีจากตลาดร้านค้า
นั่นก็จะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่าย
นำไปสู่การลดต้นทุนในการทำนาได้เป็นอย่างมาก
จนสามารถรักษาเงินสดที่มีอยู่ในมือได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกันก็มีกำไรเพิ่มมากขึ้น
(แม้ว่าราคาข้าวเปลือกที่โรงสีจะสามารถรับซื้อในแต่ละช่วงแต่ละปีจะขึ้นๆลงๆ
แต่คุณสำรวยก็ไม่ได้กังวลใจในเรื่องนั้นอีก
อาจจะได้กำไรเพิ่มมากขึ้นหรือลดน้อยลงก็ได้
แต่ก็คือได้กำไร) นักเรียนชาวนาอย่างน้าสำรวย
อินทร์บุญ (และครอบครัว)
ในวันนี้จึงยิ้มได้อย่างมีความสุขด้วยสุขภาวะ
ไม่มีความเห็น