การอภิปรายแบบนี้เหมาะกับการประชุมทางวิชาการ ซึ่งจะประกอบด้วยผู้เชียวชาญซึ่งอาจจะเป็นวิทยาการประมาณ 2-6 คน การอภิปรายแบบนี้จะมีลักษณะของความเป็นทางการค่อนข้างมาก ฉะนั้นผู้อภิปรายจึงต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาอย่างดี ซึ่งผู้อภิปรายจะเตรียมความรู้ในส่วนส่วนของตนที่รับผิดชอบตอนใดตอนหนึ่งที่ตนได้รับมอบหมายซึ่งการบรรยายในการอภิปรายแบบนี้วิทยากรจะไม่ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกับหัวข้อของวิทยากรท่านอื่น โดยวิทยากรแต่ละท่านต้องเสนอแนวคิดที่ตรงประเด็นเป้าหมายให้มากที่สุด โดยแต่ละท่านจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
วิธีการดำเนินการอภิปราย
1. พิธีกรเชิญประธานเปิดการอภิปราย จากนั้นแนะนำหัวข้อที่บรรยายและแนะนำพิธีกรภูมิหลังของวิทยากรแต่ละท่าน
2. เริ่มการบรรยายโดยพิธีกรหรือประธานจะเป็นผู้เชื่อมโยงการบรรยายของวิทยากรแต่ละท่านและสรุปบางตอนที่มีเนื้อหาประทับใจเป็นพิเศษและคอยประสานงานให้การบรรยายดำเนินไปตามหัวข้อ และวัตถุประสงค์ที่วางไว้ หรือพิธีกรอาจจะหาเลขานุการมาเพื่อช่วยในการเตรียมการและประสานงานด้านต่าง ๆ เพื่อทำให้เกดความคล่องตัว
3. การจัดที่นั่งสำหรับผู้บรรยาย ควรจัดให้สูงกว่าผู้ฟังเพื่อให้ผู้ฟังมองเห็นผู้บรรยายอย่างชัดเจน
ขอบคุณค่ะ
อ่านชื่อเรื่องครั้งแรกแล้วนึกไม่ออกว่าเป็นการอภิปราย แบบไหนก็เลยพยายามหยิบหนังสือหลายๆเล่มมาอ่านดู พอจะสรุปได้ว่า การประชุมแบบนี้อาจจะเรียกว่า "การประชุมทางวิชาการหรือวิชาชีพ" หรือ "การประชุมเอกสารัตถ์" หรือ "การประชุมนานาทัศน์"
ซึ่งหมายถึงการประชุมทางวิชาการที่เน้นเนื้อหาเพียง เรื่องเดียว เพื่อรวบรวมให้ได้ความเห็นที่หลากหลาย โดยที่ผู้เข้าประชุมทุกคนมีส่วนร่วมในการให้ความเห็น ผมอ่านที่คุณ nart เขียนแล้วเห็นภาพดีนะครับ น่าจะนำไปใช้ปฏิบัติได้เลยขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้...แต่ผมขอตัวอย่าง...ที่เป็นโครงการหรือมีการจัดขึ้นมาจริงๆได้ไหมครับ เผื่อจะได้ไปใช้ประกอบการรายงานหรือการสอนต่อไป ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
การอภิปรายแบบนี้เหมาะกับการประชุมทางวิชาการ ซึ่งจะประกอบด้วยผู้เชียวชาญซึ่งอาจจะเป็นวิทยาการประมาณ 2-6 คน การอภิปรายแบบนี้จะมีลักษณะของความเป็นทางการค่อนข้างมาก ฉะนั้นผู้อภิปรายจึงต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาอย่างดี ซึ่งผู้อภิปรายจะเตรียมความรู้ในส่วนส่วนของตนที่รับผิดชอบตอนใดตอนหนึ่งที่ตนได้รับมอบหมายซึ่งการบรรยายในการอภิปรายแบบนี้วิทยากรจะไม่ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกับหัวข้อของวิทยากรท่านอื่น โดยวิทยากรแต่ละท่านต้องเสนอแนวคิดที่ตรงประเด็นเป้าหมายให้มากที่สุด โดยแต่ละท่านจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
วิธีการดำเนินการอภิปราย
1. พิธีกรเชิญประธานเปิดการอภิปราย จากนั้นแนะนำหัวข้อที่บรรยายและแนะนำพิธีกรภูมิหลังของวิทยากรแต่ละท่าน
2. เริ่มการบรรยายโดยพิธีกรหรือประธานจะเป็นผู้เชื่อมโยงการบรรยายของวิทยากรแต่ละท่านและสรุปบางตอนที่มีเนื้อหาประทับใจเป็นพิเศษและคอยประสานงานให้การบรรยายดำเนินไปตามหัวข้อ และวัตถุประสงค์ที่วางไว้ หรือพิธีกรอาจจะหาเลขานุการมาเพื่อช่วยในการเตรียมการและประสานงานด้านต่าง ๆ เพื่อทำให้เกดความคล่องตัว
3. การจัดที่นั่งสำหรับผู้บรรยาย ควรจัดให้สูงกว่าผู้ฟังเพื่อให้ผู้ฟังมองเห็นผู้บรรยายอย่างชัดเจน
หมวดหมู่: การบริหารจัดการ การจัดการความรู้
คำสำคัญ: การอภิปรายแบบซิมโพเซียม symposium
สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ
สร้าง: จ. 15 ต.ค. 2550 @ 00:26 แก้ไข: พ. 17 ต.ค. 2550 @ 14:57 ขนาด: 3082 ไบต์
อยากได้ข้อมูล ข้อดีเเละข้อเสียของการอภิปรายเเบบsymposium อ่าค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์
ผมอยากทราบรายละเอียดของผู้ที่ทำการศึกษาเรื่องการอภิปรายรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงนะครับ
ทั้งของคนไทย และต่างชาติ ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะมีบ้างไหมครับ
ถือโอกาสขอบคุณมานะที่นี้เลยนะครับ
nickoro
กำลังเรียนเรื่องนี้อยู่อยากรู้รูปแบบการอภิปรายในที่ชุมชน ซึ่งเป็นหัวข้อหนึ่งในเรื่องการสัมมนาหาในเว็บต่างๆแล้วไม่พบ
สวัสดีค่ะ
อยากทราบข้อมูล ปาฐกณา (ปาฐกถา ) หรือซิมโพเซียมและปุจฉาค่ะ
ดีมากเลยแต่อยากให้มี่ครบทุกรูปแบบของการสัมมนา
การประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เป็นการประชุมเพื่อปฏิบัติภารกิจร่วมกันในระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งสมาชิกจะมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และลงมือปฏิบัติหรือทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งร่วมกันไปด้วย เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมปฏิบัติการจึงต้องมีผลลัพธ์หรือผลงานจากการปฏิบัติงานร่วมกัน หรือมีการนำผลงานจากการประชุมเชิงปฏิบัติการไปปรับปรุงหรือพัฒนาให้แล้วเสร็จภายหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นไปแล้ว เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตร การประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำข้อสอบมาตรฐาน การประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำร่างแผนพัฒนา ฯ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า คำหรือศัพท์แต่ละคำดังกล่าวข้างต้น ต่างมีที่มา รายละเอียด และเป้าหมายที่แตกต่างกันไป หลายครั้งที่ผ่านมา มักมีการนำไปใช้อย่างผิด ๆ โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ทำให้ผู้ที่ไม่รู้และไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้เกิดความเข้าใจผิด และมีการนำไปใช้อย่างผิด ๆ ต่อไปอีก ตัวอย่างเช่น การมีแผนที่จะจัด โครงการอบรมผู้บริหาร แต่ผู้จัดเห็นว่าผู้เข้ารับการอบรมเป็นผู้บริหาร ไม่น่าจะถุกจัดให้เข้ารับการอบรมเหมือนกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ปกิบัติงานทั่ว ๆ ไป จึงเรียกชื่อเสียใหม่เป็น โครงการสัมมนาผู้บริหาร ทั้งที่ในการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเพียงการดำเนินการฝึกอบรมตามปกติ ต่อมา เมื่อผู้บริหารดังกล่าวได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในการสัมมนาในต่างประเทศ จึงไม่ทราบความแตกต่างของการฝึกอบรมกับการสัมมนา และไม่มีการจัดเตรียมเอกสารที่ใช้ประกอบการเข้าร่วมสัมมนาแต่อย่างใด หรือกรณีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมักได้ยินได้ฟังจากผู้บริหารว่า จะจัดเวอร์คชอปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งที่ในทางปฏิบัติ เป็นการให้นโยบาย ระบุมาตรการ หรือแนวทางการดำเนินงานแก่ผู้เกี่ยวข้อง ก่อนเปิดโอกาสให้มีการซักถาม หรืออาจมีหรือไม่มีการจัดอภิปรายกลุ่มในระหว่างผู้เข้าร่วมในการประชุม โดยไม่มีการลงมือปฏิบัติและไม่มีผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการแต่อย่างใด เป็นต้น นอกจากนี้ การสัมมนาเสริมของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต ชุดวิชาการบริหารภาครัฐ ซึ่งมีการกำหนดให้นักศึกษาแต่ละคน ศึกษา ค้นคว้า ทำความเข้าใจ และจัดทำเอกสารประกอบการเข้าร่วมสัมมนากลุ่ม ตามประเด็นหรือหัวข้อการสัมมนาที่มีการกำหนดเป็นคราว ๆ ไป นั้น มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่ไม่ทราบว่า อาจารย์ให้ทำอะไร ? และจะทำอย่างไร ? เพราะรายงานทางวิชาการก็ไม่ใช่ ให้เขียนบทความตามประเด็นหรือเรื่องก็ยิ่งไม่ใช่ สะท้อนให้เห็นว่า นักศึกษาจำนวนมาก ยังไม่ทราบและไม่เข้าใจว่า การสัมมนาคืออะไร คำ และศัพท์ต่าง ๆ มีจำนวนมาก หลาย ๆ คำเป็นคำใหม่ เช่น สมรรถนะ มุ่งผลสัมฤทธิ์ ยุทธศาสตร์ กระบวนทัศน์ บริบท เป็นต้น คำ และศัพท์ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีที่มา รายละเอียด และลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ในสภาพการณ์ที่มีผู้นำ ผู้บริหารระดับสูง หรือนักวิชาการจำนวนมาก นิยมพูดถึงหรือใช้คำต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และมีหลายกรณีที่ใช้ผิด หรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการพูดอย่างแท้จริง ซึ่งอาจเกิดจากความรู้หรือไม่รู้ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผู้บริหาร นักวิชาการ โดยเฉพาะนักศึกษาในแวดวงวิชาการที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อนที่จะนำไปใช้ มิฉะนั้น จะกลายเป็นการสร้างความเข้าใจและการใช้คำที่ผิด ๆ ก่อให้เกิดความบิดเบือน สับสน ซึ่งนอกจากต้องถูกตำหนิ หรือเหยียดหยามว่า ใช้ผิด ๆ หรือ ไม่มีความรู้ ทำนองเดียวกับที่มีการตำหนิติเตียนเยาวชนรุ่นใหม่ที่ใช้ภาษาไทยผิด ๆ หรือใช้ภาษาแปลก ๆ ในแวดวงของ เด็กแนว แล้ว ยังเป็นปัญหาในการศึกษา การทำงานหรืองานตามที่อาจารย์มอบหมายในการศึกษาระดับมหาบัณฑิตด้วย โดย ผศ.มานิต ศุทธสกุ
การสัมมนา (seminar) เป็นการประชุมอภิปรายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต่างจากการประชุม อภิปรายกลุ่มหรือการประชุมอภิปรายทั่ว ๆ ไป ตรงที่ผู้เข้าร่วมในการประชุมอภิปรายเป็นผู้เกี่ยวข้องที่มีความรู้ ประสบการณ์ หรือความเชี่ยวชาญในเรื่อง ประเด็น หรือปัญหาที่อภิปรายหรือเข้าร่วมในการสัมมนา ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเข้าร่วมในการสัมมนานั้น เช่น การสัมมนา ก.พ. อาเซียน เป็นการประชุมร่วมกันของเลขาธิการ ก.พ. และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ก.พ. ของประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ซึ่งผู้แทนของแต่ละประเทศที่เข้าร่วมในการสัมมนาจะมานำเสนอพัฒนาการหรือเรื่องใหม่ ๆ รวมทั้งผลงานในการดำเนินงานบริหารบุคคลขององค์กรกลางบริหารงานบุคคลของแต่ละประเทศ ก่อนที่จะมีการอภิปรายร่วมกันในประเด็นเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค ทิศทาง แผนงาน หรือแนวทางการดำเนินงานในทางปฏิบัติ เป็นต้น ดังนั้น ผู้เข้าร่วมในการสัมมนาแต่ละคน ในฐานะที่เป็นผู้มีความรู้ ประสบการณ์ หรือความเชี่ยวชาญในเรื่อง ประเด็น หรือปัญหาด้านนั้น ๆ จึงถูกกำหนดให้ต้องมีเอกสารประกอบการสัมมนาของตนในการเข้าร่วมสัมมนา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในระหว่างผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยกัน
ขอโทษนะค่ะ รบกวนถามเรื่องข้อดี ข้อเสีย
การอภิปรายแบบคณะPanel Discussion
การอภิปรายแบบซิมโพเซียม Symposium การอภิปรายแบบระดมสมอง Brain Storming การอภิปรายแบบฟอรัม Forumการอภิปรายแบบโต๊ะกลม Round Table
ต้องการเข้าไปทำรายงานนะค่ะ
ขอคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะค่ะ