เมื่อมีกรอบ มีทฤษฎีไว้ใช้สำหรับอ้างอิงแล้ว
ลำดับต่อไปซึ่งยากยิ่งกว่าก็คือ
การนำไปใช้งานอย่างได้ผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
โดยผู้ปฏิบัติจะต้องนำเครื่องมือต่าง ๆ
มาประยุกต์ใช้เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จ
และเครื่องมือหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในแวดวงของผู้ที่ข้องเกี่ยวในการจัดทำคลัสเตอร์ก็คือ
เครื่องมือที่มีชื่อว่า Project cycle
management หรือ PCM นั่นเอง
มีผู้แปลความหมายคำนี้ เป็นภาษาไทยว่า
การบริหารวงจรของโครงการ
ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้เห็นขัดแย้งแต่ประการใด
หากเมื่อศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดการใช้งานของเครื่องมือนี้อย่างจริงจัง
กลับพบว่าวิธีการนี้ได้ขมวดรูปแบบของการเขียนโครงการแบบ logical
Framework
เข้าไปเป็นกระบวนการส่วนหนึ่งด้วย
จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ PCM
เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์และได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก
สมราคากับการเป็นเครื่องมือที่มีการพัฒนาลิขสิทธิ์
และซื้อขายพัฒนาสืบทอดติดต่อกันมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.
1960 จนถึงปัจจุบัน
ในความเห็นของผู้เขียนอยากจะให้ความหมายใหม่ว่า เป็น
การบริหารโครงการแบบครบวงจร
น่าจะครอบคลุมได้มากกว่า
เพื่อเป็นการร่นระยะเวลาในการทำความเข้าใจในพัฒนาการของ PCM
(Evolution of PCM) ผู้เขียนขอนำแผนภาพมาอธิบายประกอบ ดังนี้
EVOLUTION OF PCM
1960s :
USAID develops
Logical Framework
|
1970s :
UNDP, UNICEF implement
Logical Framework
|
Early 1980s:
GTZ develops Objective-oriented
Project Planning (ZOPP)
|
Late 1980s :
NORAD , FINNIDA
Implement ZOPP
|
EARLY 1990s :
FASID developments PCM
|
ผู้เขียนขอสรุปความหมาย และองค์ประกอบของ PCM
จากที่ได้ค้นคว้ามาดังนี้
PCM
เป็นเครื่องมือในการบริหารเพื่อสนับสนุนการพัฒนา
มีหลายชื่อตั้งแต่เริ่มต้นเป็น Logical Framework
มีการพัฒนาและปรับปรุงตลอด และปัจจุบันเป็นลิขสิทธิ์ของ
JICA ซึ่งเป็นมูลนิธิภายในการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น
PCM
เป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารวงจรทั้งหมดของโครงการ
เริ่มตั้งแต่การวางแผน การนำไปปฏิบัติ จนถึงการประเมินผล
โดยจัดให้อยู่ในรูปแบบ เมทริกซ์ 4 x 4 หรือ 16 ช่อง
(Project Design Matrix)
ซึ่งทุกช่องจะมีความสัมพันธ์กันในเชิงตรรกวิทยา
องค์ประกอบของ PCM ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. การวิเคราะห์ปัญหา
(Problem Analusis)
2. การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ (
Objective Analysis)
3. การเลือกโครงการ
(Project Selection)
4. การออกแบบเมทริกซ์ของโครงการ
(Project Design Matrix)
แม้ว่า การนำเครื่องมือ PCM มาใช้งานจะทำให้ผู้ที่เริ่มนำมาใช้
พบกับอุปสรรคบ้าง
เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ เพียงพอ แต่หากวิเคราะห์ผลดี
ที่จะเกิดขึ้น เมื่อใช้ PCM ครบถ้วนตามองค์ประกอบต่าง ๆ แล้ว
น่าจะทำให้การดำเนินการโครงการในระยะต่างๆ
มีความร้อยรัดต่อเนื่องกัน ผู้เข้าประชุมสัมมนาแต่ละครั้ง
สามารถเข้าใจประเด็นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การประชุมแต่ละครั้ง
มีความคืบหน้า ไม่ต้องหวนกลับมานับหนึ่งหรือทบทวนใหม่ ทุกครั้ง
และผลดีของ PCM อีกประการหนึ่ง คือ
สามารถนำมาใช้ในการกำหนดแผนกลยุทธ์ของคลัสเตอร์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น
และ ใช้ในการประเมินโครงการนำร่อง (Pilot Project)
ได้ด้วย คุ้มค่า คุ้มราคาที่ไม่ต้องซื้อมาขนาดนี้
ไม่สรุปว่า เครื่องมือนี้
WORK ก็น่าจะใจดำเกินทนล่ะครับ