ความแตกต่างระหว่างการฝึกอบรมกับการสัมมนา
การฝึกอบรม หมายถึง
กระบวนการหรือกิจกรรมใดๆที่จัดขึ้นเพื่อมุ่งส่งเสริมเพิ่มพูนบุคลากรหรือกลุ่มบุคคลใดๆให้มีความรู้
ทักษะ
ทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการทำงานของบุคลากรในองค์กรของตนตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
แลพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น (สุจิตรา จันทนา,2539,หน้า
339)
การฝึกอบรมเป็นการเตรียมและพิจารณาตัวบุคคลให้พร้อมที่จะปฏิบัติงานที่มีความสามารถถึงขีดสูงสุด
เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาองค์กรของตนให้มีการพัฒนา
มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
องค์กรจะมีความเจริญก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความรู้
ความสามารถของบุคลากรในองค์กรต่างๆเหล่านั้นที่จะสามารถพัฒนาองค์กรของตนเองนั่นเอง
การสัมมนา หมายถึง
การที่คณะบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมประชุมกัน
โดยการนำของผู้เชี่ยวชาญ
หรือผู้รู้ในลักษณะที่แต่ละคนหันหน้าเข้ามาปรึกษาหารือกัน
หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องที่จะมุ่งพิจารณากันโดยเฉพาะ
โดยการนำเอาประสบการณ์เดิมมาสร้างเป็นแนวปฏิบัติใหม่จัดได้ว่าเป็นการฝึกอบรมประเภทหนึ่ง
เป็นการเพิ่มพูนความรู้แก่ผู้ร่วมสัมมนา
เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หรือเพื่อเป็นการเตรียมตัวให้ก้าวหน้าเหมาะสมกับตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบ
(ทัศนีย์ วิศาลเวชกิจ,2524,หน้า 1)
การสัมมนาเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการฝึกอบรม
ทั้งการฝึกอบรมและการสัมมนานี้มีความคล้ายคลึงกันมาก
แต่ก็มีความแตกต่างกันด้วยตรงที่การสัมมนามีลักษณะเหมือนการประชุมประเภทหนึ่ง
จะมีการจัดประชุมกันภายในห้องประชุม
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาข้อสรุป
หรือข้อแก้ไขปัญหา
แต่การฝึกอบรมมีลักษณะเป็นเหมือนการเรียนในห้องเรียน
โดยที่มีอาจารย์เป็นผู้บรรยาย สอน
และให้คำปรึกษา
แต่ในการฝึกอบรมนั้นเพียงเปลี่ยนผู้บรรยาย สอน
และให้คำปรึกษา
จากอาจารย์เป็นวิทยากรผู้ให้การอบรมเท่านั้นเอง
การสัมมนาจะมีการจัดเตรียมขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่าการจัดฝึกอบรม
ทั้งการกำหนดหัวข้อ เลือกสถานที่
จัดเตรียมสถานที่ วัน เวลา
หรือแม้กระทั่งการเฟ้นหาตัววิทยากรผู้บรรยายในงานก็ตามจะต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้
ความสามารถสูง
สามารถควบคุมการสัมมนาได้จนลุล่วง
เพราะการจัดสัมมนาจะมีความเป็นทางการ
ดูเป็นราชการมากกว่าการจัดฝึกอบรม
ส่วนการจัดฝึกอบรมนั้นก็มีความเป็นทางการแต่ไม่มากเท่าการสัมมนา
ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากนัก
แต่ก็ยังคงมีความเป็นระบบระเบียบอยู่บ้าง
บุคคลที่เข้าร่วมการสัมมนาจะเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ
ความรู้ ความสามารถ
และมีประสิทธิภาพมากกว่าบุคคลที่เข้าร่วมการฝึกอบรมเพราะบุคคลที่เข้าร่วมการสัมมนาจะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้จากสาขาต่างๆมารวมตัวกัน
ส่วนการฝึกอบรมเป็นการรวมผู้ที่มีความรู้
ความสามารถน้อย
มาฝึกเพื่อให้มีความรู้ความสามารถมากยิ่งขึ้นเพื่อเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
การสัมมนาส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในองค์กรของภาครัฐบาล
พวกข้าราชการ พนักงานของรัฐ
มีการประชุมร่วมกัน
ส่วนการฝึกอบรมส่วนใหญ่จะจัดขึ้นกันภายในบริษัท
องค์กรการค้าขายที่เน้นการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรเพื่อขยายธุรกิจขององค์กรของตน
ในการสัมมนานั้นผู้ที่เข้าร่วมการสัมมนาจะมีโอกาสเสนอแนะ
แลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นของตนเองได้มากกว่าการฝึกอบรมเนื่องจากการสัมมนานั้นเป็นรวบรวมเอาผู้ที่มีความรู้มาประชุมกันเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันต่างมีแนวคิดกันไปคนละแบบจึงนำเอาความคิดนั้นมาผสมผสาน
วิเคราะห์หาเหตุผลจนหาข้อสรุปที่แน่นอนได้
ส่วนการฝึกอบรมนั้นผู้ที่เข้าร่วมการฝึกอบรมจะมีส่วนในการเสนอความคิดเห็น
หรือมีข้อแลกเปลี่ยนกันได้น้อยเพราะจะมีวิทยากรที่มีความรู้มากเป็นผู้ดำเนินกาอยู่แล้ว
และการฝึกอบรมเป็นเหมือนการสอนให้พัฒนาความรู้ของบุคลากรในเรื่องที่ไม่รู้ดังนั้นเมื่อบุคลากรไม่มีความรู้มาก่อนก็จะไม่มีโอกาสที่จะนำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฝึกอบรมได้
อาจมีเพียงข้อซักถามเมื่อบุคคลนั้นมีข้อสงสัยในเรื่องที่เข้าฝึกอบรมในขณะที่วิทยากรกำลังฝึกอบรมอยู่
หรือในขณะที่วิทยากรฝึกอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หรือเมื่อวิทยากรฝึกอบรมได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสงสัยได้ซักถามเมื่อมีข้อสงสัย
การฝึกอบรมนั้นบุคลากรที่เข้ารับการฝึกอบรมนั้นเป็นบุคคลที่ยังไม่มีประสบการณ์
ทักษะ ความรู้
และความชำนาญในเรื่องที่จะเข้ารับการฝึกอบรมมาก่อน
หรืออาจเป็นผู้ที่มีความรู้
ทักษะ ประสบการณ์
และความชำนาญในเรื่องที่จะเข้ารับการฝึกอบรมมาบ้างแต่ไม่มากหรือไม่ชำนาญนักมาเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อให้มีความรู้
มีทักษะ มีประสบการณ์
และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม
เพื่อเพิ่มพูนความรู้
ทักษะจากที่ไม่เคยมีมาก่อนให้มีความรู้
และทักษะความชำนาญในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
และสามารถนำไปปฏิบัติตามหนน้าที่ของตนภายในองค์กรเพื่อพัฒนาองค์กรของตนเองได้อย่างมีคุณภาพ
และมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยที่การฝึกอบรมนั้นจะมีผู้ที่มีความรู้
ประสบการณ์
ทักษะและความชำนาญในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีมาเป็นผู้ฝึกอบรม
ส่วนการสัมมนานั้นบุคลากรที่เข้าร่วมสัมมนานั้นเป็นผู้ที่มีประสบการณ์
ความรู้เป็นอย่างดีอยู่แล้วหลายๆบุคคล
หลายสาขา
ที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันมารวมตัวกันเพื่อที่จะนำเอาความรู้ของตนเองในเรื่องนั้นๆมาอภิปราย
ปรึกษาหารือ หาข้อคิดเห็น
และวิธีแก้ปัญหา แล้วนำประสบการณ์
แต่ก็ยังต้องมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ช่วยในการดำเนินการสัมมนาด้วยเหมือนกันแต่ไม่ต้องทำหน้าที่หนักเท่ากับการฝึกอบรม
การอภิปรายหาข้อยุติที่ได้นั้นมารวมกันแล้วจึงนำไปหาวิธีการเพื่อให้บรรลุผล
ในขณะที่การฝึกอบรมนั้นบุคลากรไม่จำเป็นต้องมีความรู้
หรือประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาก่อน
หรือมีความรู้ในเรื่องนั้นเพียงน้อยนิดก็ได้
เพราะว่าถ้าบุคลากรในองค์กรมีความรู้
ความสามารถในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกอบรมบุคลากรเกิดขึ้นภายในองค์กร
ส่วนการสัมมนานั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เข้าร่วมการสัมมนานั้นต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะนำมาสัมมนานั้นเป็นอย่างดี
เพราะจะนำเอาความคิดเห็นที่เด่นๆมารวบรวม และสรุป
เพื่อที่การสัมมนานั้นถึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้วางไว้
การสัมมนาเป็นการรวบรวมผู้ที่มีความรู้และผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกๆสาขามารวมตัวกันเพื่อหาข้อสรุป
ข้อยุติ หาทางแก้ปัญหา
อาจมีการแบ่งกลุ่มเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหา
มีลักษณะเน้นเพื่อการแลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้
เทคนิคใหม่ๆให้กับสมาชิก
แต่การฝึกอบรมจะเหมือนกันตรงที่เป็นการเพิ่มพูนความรู้
และเทคนิคใหม่แก่สมาชิกแต่จะไม่เหมือนกันตรงที่การฝึกอบรมจะไม่มีการแลกเปลี่ยนกันมีแต่วิทยากรจะให้ความรู้แก่สมาชิกเท่านั้น
วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมจะมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เข้ารับการอบรมเป็นหลักให้มีพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น
ส่วนการสัมมนาเป็นเพียงการเข้าร่วมเพื่อหาแนวทางในการตัดสินใจหรือกำหนดนโยบายในการแก้ปัญหาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่เข้าร่วมการสัมมนาหลังจากการสัมมนาแล้วแต่เพียงอย่างใด
หรือถ้าจะมีผู้ใดที่เกิดกาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังจากการสัมมนาก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์หลักของการจัดสัมมนา
แต่ถ้าหลังจากการสัมมนาจะมีการนำเอาผลของการสัมมนานั้นไปดำเนินการอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ที่ต้องการนำผลการสัมมนาไปใช้ดำเนินการต่อไป
การฝึกอบรมอาจมีทั้งการฝึกอบรมด้วยทฤษฎีหรือบางครั้งการฝึกอบรมก็มีแบบที่เป็นการปฏิบัติด้วยแต่ในด้านของการสัมมนานั้นไม่มีการสัมมนาโดยการปฏิบัติส่วนใหญ่จะเป็นการระดมสมองกันอยู่ภายในห้องประชุมสัมมนาเพื่อหาข้อยุติของการสัมมนามากกว่า
การสัมมนาไม่ได้เน้นผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในด้านการเจริญเติบโต
ขยายการผลิตหรือขยายงานในด้านต่างๆขององค์กรในทันทีหลังจากที่มีการสัมมนาแล้ว
แต่จะมีการนำเอาวิธีแก้ปัญหาที่ได้จากการสัมมนามาใช้พัฒนาองค์กรอีกทีหนึ่งหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้นำเอามาใช้หรือไม่
แต่การฝึกอบรมเน้นผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นเพื่อความอยู่รอดขององค์กรเสียมากกว่า
เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันกันระหว่างองค์กรกันเป็นอย่างมาก
การฝึกอบรมจะช่วยให้องค์กรมีความแข็งแรง
เจริญเติบโตมีการขยายการผลิต
การขายและการขยายงานด้านต่างๆ (สมคิด
บางโม,2539,หน้า15)
และการฝึกอบรมจะเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรแบบทันทีทันใดมากกว่าการสัมมนา
การสัมมนามีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน (สมพร
มันตะสูตร,2525,หน้า 5)
แต่การฝึกอบรมเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่การสัมมนาเป็นการแก้ปัญหาจากคนกลุ่มเดียวกันโดยที่ไม่ต้องถ่ายทอดไปยังคนกลุ่มอื่นอีก
ถ้าจะมีการถ่ายทอดก็ต่อเมื่อได้มีการเลือกนำเอาวิธีการที่ได้จากการสัมมนาไปใช้
แต่การฝึกอบรมเป็นการจัดการบริหารของผู้บริหารขององค์กรเพื่อหาวิธีพัฒนาองค์กรและหาความจำเป็นในการฝึกอบรมบุคลากรจากนั้นจึงจะถ่ายทอดคำสั่งว่าจะให้มีการอบรมหรือไม่
ประโยชน์โดยอ้อมอย่างหนึ่งที่จะได้รับจากการฝึกอบรม
คือ
เกิดการความเคลื่อนไหวในหน้าที่การงานภายในองค์กร
สร้างความพร้อมแก่บุคลากร เพื่อการสับเปลี่ยน
หมุนเวียน โยกย้าย
และการเข้ารับตำแหน่งใหม่
แต่การสัมมนาประโยชน์ที่จะได้รับจากการสัมมนาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานภายในองค์กรพวกนี้เลย
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการจัดสัมมนา คือ
การเกิดปัญหาการขัดแย้งกันในด้านความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเพราะการสัมมนาต่างก็รวบรวมผู้ที่มีความรู้กว้างขวางมากมายมารวมอยู่ด้วยกัน
แต่การฝึกอบรมจะเกิดปัญหาเหล่านี้น้อยมากเนื่องจากการฝึกอบรมบุคลากรแทบจะไม่ต้องออกความคิดเห็นใดๆ
อาจจะมีบางแต่ก็น้อยมากที่จะเกิดการขัดแย้งกันเกิดขึ้นภายในกลุ่ม
ดังนั้นการฝึกอบรมจึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้
การฝึกอบรมเป็นการรวมตัวของผู้ที่มีความรู้
ประสบการณ์ ความสามารถน้อยมาฝึกอบรมกัน
แต่การสัมมนาเป็นการรวมของกลุ่มบุคคลซึ่งมีความรู้
ความสามารถมากมาสัมมนากัน
จะแตกต่างกันตรงที่ความรู้ ความสามารถ
ของผู้ที่ร่วมทั้งฝึกอบรม และสัมมนา
ผู้ที่เข้าร่วมการฝึกอบรมนั้นมีความจำเป็นต้องเข้ารับการฝึกอบรมในแกแนวบังคับ
โดยที่องค์กรนั้นจะจัดบังคับให้บุคลากรคนใดเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้เพิ่มมากขึ้น
มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อที่จะได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบได้ดีที่สุด
ส่วนผู้ที่เข้ารับการสัมมนานั้นไม่ได้มีการบังคับแต่เป็นการสมัครใจของผู้เข้าร่วมสัมมนานั้นเอง
ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้ที่ต้องการเข้าร่วมการสัมมนา
ว่าในการสัมมนาครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ตนสนใจ
และอยากเข้าร่วมสัมมนาด้วยหรือไม่
ผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลในระดับผู้บริหารขององค์กร
แต่ในการฝึกอบรมส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมจะเป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่ต่างๆภายในองค์นั้นๆ
หรือพนักงานบริษัทนั่นเอง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งการฝึกอบรม
และการสัมมนานั้นต่างก็จัดขึ้นเพื่ออบรม
ฝึกฝน แนะนำ เสนอสาระที่น่ารู้
ทันสมัย และเหมาะสมกับสถานการณ์
เพี่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กร
เพื่อที่องค์กรนั้นจะได้มีบุคลากรที่มีคุณภาพ
และมีศักยภาพ มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
บุคลากรทุกคนในองค์กรเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
เป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเองในทางอ้อม
และพัฒนาองค์กรของตนให้มีเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป
แวะมาอ่านหาความรู้
ขอบคุณสำหรับการบันทึกนี้