เป็นปกติที่เมื่อเขียนเล่าเรื่องต่างๆให้อ่านแล้ว ผู้วิจัยจะสอดแทรกความคิดเห็นต่างๆลงไปในช่วงท้าย แต่เมื่อวานนี้ค้างเอาไว้ เนื่องจาก ต้องรีบ (กลับบ้าน) เข้าไปในเมือง เพราะ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน อาจารย์พิมพ์นำนักศึกษาไปร่วมงานสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ที่กรุงเทพฯ เพิ่งกลับมาถึงลำปางเมื่อคืนนี้ (จะว่าเมื่อคืนก็ไม่เชิงค่ะ กว่าจะกลับมาถึงตี 1 ก็ถือว่าขึ้นวันใหม่แล้ว) ดังนั้น ก่อนที่จะเล่าต่อในวันนี้ผู้วิจัยจึงขอถือโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนเองหน่อยก็แล้วกันนะคะ
ประเด็นของเมื่อวานนี้เป็นการพูดคุยกันในเรื่องของที่ทำการเครือข่ายฯ และเรื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับเรื่องที่ทำการเครือข่ายฯนั้นผู้วิจัยไม่ขอแสดงความคิดเห็นก็แล้วกันนะคะ เพราะ เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ความจริงทุกคนก็มีความพยายามในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่การที่เครือข่ายฯยังต้องขอความร่วมมือในการสนับสนุนที่ทำการฯจากหน่วยงานอื่นนั้น ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าต้องทำใจถ้าหากจะมีอะไรติดขัดหรือชักช้าไปบ้าง (ก็คงเหมือนอย่างที่ใครหลายคนเคยบอกไว้ว่ามากคนก็มากความ)
ส่วนประเด็นในเรื่องคอมพิวเตอร์นั้น ผู้วิจัยขอตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็แล้วกันนะคะว่าเรื่องนี้ถ้าจัดการไม่ดี อาจทำให้เกิดปัญหาต่อไปได้อีกยาวค่ะ เนื่องจาก การที่ได้เข้าไปสังเกตการณ์การประชุมทำให้ผู้วิจัยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ บางคนก็แสดงความเบื่อหน่าย (คงเป็นเพราะ มีการตอบโต้ไปมาระหว่างคณะกรรมการเครือข่ายฯที่เป็นฝ่ายจัดการสั่งซื้อ กับกลุ่มที่รับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาไป ไม่จบลงซะที หรืออาจเป็นเพราะ กลุ่มของตนเองก็ไม่ค่อยพอใจกับคอมพิวเตอร์ชุดนี้เหมือนกัน) ในขณะที่ลุงคมสัน ในฐานะผู้รับผิดชอบสั่งซื้อก็คงรู้สึกอึดอัดใจ น้อยอกน้อยใจ (ไม่ขอยกตัวอย่างคำพูดก็แล้วกันนะคะ ขอรู้กันแต่ในที่ประชุมก็แล้วกันค่ะ) ส่วนบางคนก็คงจะงงไม่รู้ว่าเรื่องจะจบอย่างไร (เพราะ การพูดคุยตั้งท่าจะจบหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่จบเสียที พูดไปพูดมาออกนอกเรื่องบ้าง วกกลับเข้ามาใหม่บ้าง) สำหรับผู้วิจัยนั้นเห็นว่าการถกเถียงกันเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะ จะได้สะท้อนให้เห็นว่าแต่ละคนคิดอย่างไร มีความรู้อะไร ขาดความรู้อะไร รวมทั้งมีวิสัยทัศน์อย่างไร (แต่ประธานฯต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้) แต่ การถกเถียงที่ไม่หาทางออก และ ไม่บันทึกไว้เป็นบทเรียนสำหรับการทำงานต่างหากที่จะก่อให้เกิดปัญหาไม่รู้จบ การที่ผู้วิจัยยกมือขอแสดงความคิดเห็นในตอนท้ายนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะยกตนข่มท่านหรือแสดงภูมิปัญญาว่าตนเองฉลาดแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามผู้วิจัยกลับคิดว่าการที่ได้เข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้ตนเองกล้าคิด กล้าแสดงออกมากขึ้น และยังทำให้เครือข่ายฯได้รับความรู้มากขึ้นด้วย (ถ้ามีคนสนใจสิ่งที่ผู้วิจัยเสนอ) อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้วิจัยเห็นว่ามีความน่าสนใจก็คือ จากกรณีปัญหาในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่ายฯยังขาดความรู้ในเรื่องคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิด เพราะ ความรู้ในด้านพวกนี้เป็นความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน ถ้าไม่ได้มีการศึกษาหรือฝึกฝนก็จะไม่มีความรู้ ความชำนาญในด้านนี้ หากเครือข่ายฯได้ฉุกคิดและนำบทเรียนจากกรณีนี้เป็นกรณีศึกษาของตนเอง พยายามหาความรู้ต่างๆมาใช้ในการแก้ไขปัญหาก็จะดีมาก (ความรู้ที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในที่นี้ผู้วิจัยไม่ได้หมายความว่าเครือข่ายฯจะต้องส่งคนไปศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้หรอกนะคะ แต่เครือข่ายฯสามารถหาวิธีการแก้ไขได้อีกหลายวิธี เช่น ถ้าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องใดแล้วไม่มีผู้มีความรู้เรื่องนั้นอยู่ในเครือข่ายฯ เครือข่ายฯก็อาจหาความรู้หรือหาผู้รู้จากภายนอกมาช่วยก็ได้) เพราะ ถ้าหากมีกรณีเช่นนี้อีก ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องคอมพิวเตอร์ อาจเป็นเรื่องอื่นๆที่เครือข่ายฯไม่มีความรู้ จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นอีกหรือถ้าจะเกิดก็เกิดน้อยที่สุด (เปรียบเสมือนกับการสรุปงานที่ผู้วิจัยได้เสนอเอาไว้ ถ้ามีการสรุปงานก็จะช้วยให้เครือข่ายฯทราบว่าตนเองรู้อะไร มีความสามารถเรื่องอะไร มีความสำเร็จเรื่องอะไร และเรื่องอะไรที่ตนเองยังบกพร่องอยู่ จะได้หาทางแก้ไข ต่อไปหากมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นอีกจะได้ไม่ผิดพลาดเหมือนในอดีต)
ขอจบความคิดเห็นในประเด็นนี้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ถ้าท่านใดที่เคยประสบปัญหาหรือเคยแก้ไขปัญหาในลักษณะนี้ มีประสบการณ์อย่างไรก็เขียนเล่าสู่กันฟังบ้งนะคะ จะขอบคุณมากค่ะ เพราะ ผู้วิจัยจะได้มีข้อมูล ความรู้ ไปนำเสนอให้ที่ประชุมทราบ เป็นการเปิดโลกทัศน์ในอีกทางหนึ่งค่ะ
ไม่มีความเห็น