คิดข้างๆคูๆ


ผมชอบเรียกคำว่าLateral thinkingว่า คิดข้างๆคูๆ เป็นการคิดอะไรที่แปลกไปกว่าคนอื่น แต่ต้องใช้ประโยชน์ได้ด้วย

               ในการทำงานที่ผ่านมา ผมผ่านมาแล้ว 3 โรงพยาบาลชุมชน ทั้ง 10 เตียง 30 เตียงและ 60 เตียง เท่าที่อยู่มายังไม่เจอโรงพยาบาลไหนเลยที่ไม่มีปัญหา ทุกที่มีปัญหาทั้งหมด การมีปัญหาขององค์การนี่แหละ จึงต้องมีผู้อำนวยการหรือผู้บริหารเพราะผู้บริหารเขามีไว้แก้ปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่รู้จะเอาผู้บริหารไว้เพื่ออะไร ดังนั้นใครที่เป็นผู้บริหารแล้วไม่อยากเจอกับปัญหาจึงเป็นไปไม่ได้

                มีผู้รู้ท่านเปรียบไว้ว่า ผู้บริหารเปรียบเหมือนทะเล พนักงานในหน่วยงานเปรียบเหมือนแม่น้ำ ลำคลอง แม่นำจะต้องไหลลงสู่ทะเล นั่นคือมีอะไรก็ไม่พ้นผู้บริหาร หากแม่น้ำใสสะอาด ทะเลก็สะอาดใส สบาย หากแม่น้ำพัดเอาสิ่งโสโครกหรือของไม่ดีมาด้วย ผู้บริหารก็รับไปด้วย จะหลีกเลี่ยงไม่ได้

                 สมัยเมื่ออยู่เป็นผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง มีปัญหาเรื่องเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลใช้รถมอเตอร์ไซด์ของโรงพยาบาลไปทำธุระในช่วงนอกเวลาราชการแล้วไม่เก็บกุญแจ ล็อคกุญแจให้เรียบร้อย เสี่ยงต่อการสูญหาย (สมัยก่อนโรงพยาบาลที่อยู่ไกลๆ ก็อะลุ้มอะล่วยกันบ้างในการใช้ยานพาหนะเพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยมีรถใช้กัน จะลำบากเรื่องอาหารการกิน ก็อนุญาติให้ใช้มอเตอร์ไซด์ได้)

                  มีการนำปัญหาเหล่านี้ มาพูดคุยกันทั้งในที่ประชุมกรรมการบริหารและประชุมประจำเดือนเจ้าหน้าที่ กันหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ บางทีใช้รถเสร็จก็เสียบกุญแจคาไว้เลย ขโมยจะได้สะดวก สตาร์ตเครื่องก็ไปได้เลย  ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกันดี และก็จับตัวคนใช้ไม่ค่อยได้เพราะไม่ยอมรับและไม่ค่อยบอกกัน

                  ผมก็เลยวางแผนอยู่ในใจ ได้โอกาสคืนหนึ่งมาดูคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินตอนตี 1 เดินผ่านโรงรถก็เลยเข้าไปดู ปรากฎว่ากุญแจมอเตอร์ไซด์ก็ยังคาอยู่ที่รถ ผมก็เลยแอบเข็นรถมอเตอร์ไซด์ไปเก็บไว้ที่บ้านพัก(ระยะทางเกือบ 100 เมตร) ไม่มีใครทราบเลยว่ารถหายไปแล้ว

                   จนใกล้เที่ยงผมก็เลยเตรียมกับทันตแพทย์ที่เป็นรองผู้อำนวยการ(มีแพทย์คนเดียวคือผม) ว่าผมได้เอารถไปเก็บไว้ที่บ้าน ให้ทันตแพทย์ต้องการใช้รถและทำให้คนในโรงพยาบาลรู้สึกว่ารถหายไป ทางหัวหน้าบริหารก็วุ่นวายเพราะรถหาย มีการเรียกประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามว่ามีใครเอาไปบ้าง ปรากฎว่าเงียบ(ผมไม่อยู่ ให้เขาคุยกันเอง ผมไปประชุมที่อำเภอ) ทุกคนวุ่นวายมาก แล้วกระบวนการซักทอดเพื่อหาคนใช้รถคนสุดท้ายก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะไม่มีใครอยากรับผิดชอบและก็จับตัวคนใช้ได้เพราะพยานยืนยันเยอะ(แต่ตอนประชุมก่อนๆไม่มีใครโทษใครเพราะยังไม่มีปัญหา ก็ช่วยๆกันไป)

                   หลังประชุมเสร็จ ผมก็กลับมาตอนที่เขากำลังจะเลิกประชุม ก็ทำเป็นถามว่าประชุมกันเรื่องอะไร ก็ได้ข้อมูลมา ผมก็เลยถามว่าถ้ารถหายอย่างนีร้ ต้องทำอย่างไรบ้าง ใครต้องรับผิดชอบ ทำให้บรรยากาศในห้องดูเคร่งเครียดมาก ผมก็เลยได้โอกาสพูดว่า เราเคยประชุมพูดคุย ขอความร่วมมือเรื่องนี้กันมาหลายเดือนแล้ว แต่พวกเราส่วนหนึ่งก็ไม่ให้ความร่วมมือ ตอนนี้เป็นยังไง ของหายเกิดเรื่องก็มาโทษกัน มาวุ่นวายกัน ถ้าหากเราใช้แล้วล็อคคอรถ เก็บกุญแจคงไม่เกิดเรื่อง สังเกตแล้วทุกคนได้คิด

                    ผมบอกอีกว่าขอให้ถือเป็นบทเรียนก็แล้วกันนะ รถอยู่ที่บ้านผม ยังไม่ได้หายไปไหน นี่ถ้าผมเป็นขโมยจริง รถก็คงหายไปแล้ว ทั้งๆที่ผมก็เข็นไปตามปกติเกือบ 100 เมตรกว่าจะถึงบ้านผม ยังไม่มีใครเห็นเลย ถ้าเป็นขโมยจะยิ่งแนบเนียนกว่านี้

                   หลังจากนั้น ก็ไม่พบการใช้รถที่ไม่เก็บกุญแจ ไม่ล็อคคอรถอีกเลย

คำสำคัญ (Tags): #kmกับงานประจำ
หมายเลขบันทึก: 13353เขียนเมื่อ 25 มกราคม 2006 17:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
ผมลืมบอกไปนิดหนึ่งว่า ผมได้ประกาศต่อที่ประชุมเลยว่าเหตุการณ์สมมุติแบบที่ผมทำนี้ ผมจะไม่ทำอีกเป็นอันขาด หากเกิดเรื่องอีกครั้งก็แสดงว่าของหายจริงๆ ไม่ต้องมาชะล่าใจว่าผมจะทำแบบเดิมอีก

การปฏิบัติของคุณพิเชฐก็มีข้อเสี่ยงนะคะ  อาจโดนข้อหาว่าโขมยของหลวงได้  ถ้าบางคนเอาเรื่องนะ

 

ขอบคุณครับ สำหรับอีกมุมมอง แต่พอดีบ้านพักอยู่ในโรงพยาบาลและผมมีคำตอบสำหรับประเด็นนี้ไว้ในใจแล้วครับ ว่าจะแก้ข้อหานี้อย่างไร
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท