หลังจาก สคส.จัด KM สัญจร นักวิชาการ & ปราชญ์ชาวบ้านที่พิจิตร เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นี่เป็นอีกหนึ่งข่าวที่ถูกนำเสนอตามแง่มุมและความเข้าใจของนักข่าวที่ร่วมกิจกรรม คือ คุณสุดทีวัล สุขใส จากหน้าจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เลยเอามาลงให้ดูกันค่ะ
http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/23/w006_70193.php?news_id=70193#
ชุมชนนักปฏิบัติ
'เกษตรปลอดสารพิษ'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, January 23, 2006
"ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง คือทำให้พอเพียง
ถ้าไม่พอเพียง ไปไม่ได้ แต่ถ้าทำพอเพียง สามารถที่จะนำพาประเทศให้ดี
ไปได้ดี ก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ"
กระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และนี่ก็เป็นแนวทางการปฏิบัติที่ชาวเกษตรกรจังหวัดพิจิตรหลายคนยึดเอาเป็นแนวทางการประกอบอาชีพที่พูดค่อนข้างอย่างเป็นเสียงเดียวกัน
เมื่อในอดีตที่ผ่านมา
จังหวัดพิจิตรเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตข้าวและพืชผักแหล่งใหญ่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางตอนบน
มีการทำการเกษตรมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ
การผลิตอยู่บนพื้นฐานการพึ่งพาธรรมชาติ
เน้นเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน
ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นและพึ่งพาอาศัยกัน
กระทั่งเข้าสู่ยุคสมัยการพัฒนาเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมากขึ้น
วิถีชีวิตของชาวเกษตรกรก็เปลี่ยนไปเป็นวิธีการผลิตเพื่อขาย
ขณะเดียวกันสารเคมีทางการเกษตรก็เริ่มเข้ามามีบทบาทผ่านการส่งเสริมการใช้โดยรัฐ
รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่เข้าถึงชุมชน
สุดท้ายจึงมีการใช้สารเคมีอย่างเต็มรูปแบบของการเกษตรจนถึงปัจจุบัน
เมื่อ 2-3
ปีก่อนชาวพิจิตรต้องตื่นตะลึงเมื่อรายงานจากสาธารณสุขพบว่า
ชาวพิจิตรมีอัตราสารเคมีตกค้างในเลือดสูงและอยู่ในภาวะอันตราย
ขณะที่ในภาคเกษตรก็มีสารเคมีในการเกษตรมากเป็นอันดับสองของประเทศ
จึงเกิดการตื่นตัวกันทั้งจังหวัด
เพื่อยกระดับสุขภาวะของคนทั้งจังหวัดให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
ปี 2543
มีการศึกษาการใช้ข้อมูลทางเคมีของเกษตรกรพบว่า
พิจิตรเป็นจังหวัดที่มีการใช้สารเคมีที่สูงมาก
และผลจากการใช้สารเคมีเป็นจำนวนมากได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
รวมทั้งปัญหาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ตรวจพบว่า
มีสารเคมีตกค้างในกระแสเลือดและเจ็บป่วยสูงในอันดับต้นของประเทศไทย
รวมถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจนนำไปสู่ภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของชาวเกษตรกร
ดังนั้น
เครือข่ายเกษตรปลอดสารพิษ ของจังหวัดพิจิตร
จึงได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหานี้ และทำงานเพื่อวัตถุประสงค์นี้มาตลอด
เน้นการทำงานร่วมกับเกษตรกร
และเริ่มมีการจัดหาแนวทางเพื่อขยายแนวคิดในระดับการปฏิบัติ
กลายเป็นที่มาของการจัดทำหลักสูตรในการสร้างกระบวนการเรียนรู้และการพึ่งพาอาศัยกันเองว่า
'วิทยากรกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งพาตนเองและการพึ่งพากันเอง'
หรือเรียกย่อว่า 'วปอ.ภาคประชาชน' นั่นเอง
หลังจากนั้นพบว่าเมื่อนำเทคนิคการจัดการความรู้มาใช้ก็ได้ระบบการทำงานที่ดีขึ้น
การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย วิสันต์ ทองเต่ามก และมนูญ
มณีโชติ
เกษตรกรชาวพิจิตรได้พัฒนาเครื่องมือและมีการจดบันทึกเพื่อรวบรวมองค์ความรู้มากขึ้น
ปัจจุบันจังหวัดพิจิตรกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานที่หลายหน่วยงานให้ความสนใจ
โดยเฉพาะการเกิดเครือข่ายให้กับชาวจังหวัดพิจิตร
และกลไกที่ทำให้การขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการมีสุขภาพที่ดีได้เดินหน้าอย่างรวดเร็วเป็นที่หน้าพอใจ
ซึ่งปี 2548 พบว่าชาวพิจิตรมีอัตราสารเคมีในเลือดลดลงมาอยู่อันดับที่
6 ของประเทศ
และเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเดินหน้าที่จะนำคนทั้งจังหวัดสู่สุขภาวะที่ดีในอีก
1-2 ปีนี้ข้างหน้า และยังเป็นตัวอย่างให้กับจังหวัดอื่นๆ
เพื่อไปปรับใช้ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ชาวเกษตรกรที่เห็นความสำคัญก็ได้มีการรวมกลุ่มกันทำเกษตรปลอดสารพิษแบบจริงจัง
ปลูกไว้กินไว้ใช้เองโดยใช้สารชีวภาพที่ทำขึ้นในชุมชนด้วยวิธีการลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ
ผลผลิตได้มาก็กินใช้ภายในครัวเรือน
เหลือก็นำไปขายในตลาดชุมชนที่ชาวบ้านได้คิดรวมกลุ่มตั้งกันขึ้นมาอย่างพอมีพอกิน
ชาวบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีความสุขที่ไม่มีหนี้
สุขภาพร่างกายก็ดีขึ้นจากแต่ก่อนที่ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นหนี้เป็นสิน
ซึ่งการใช้สารชีวภาพทำให้มีสุขภาพดี ลดต้นทุน เพิ่มพูนกำไร
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ชาวบ้านเกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
ขยายเป็นเครือข่ายตามความถนัดของตนเองที่หันมาทำเกษตรปลอดสารพิษถึง 4
เครือข่ายด้วยกัน ได้แก่ เครือข่ายข้าวขาวสะอาด โดยมี ผดุง เครือบุษผา
เป็นแกนนำชาวบ้าน อ.ตะพานหิน เขาบอกว่า
"หลังจากได้ลดเลิกการใช้สารเคมีมา 2 ปี
แล้วหันมาทำสารน้ำหมักปุ๋ยหมักจากธรรมชาติจำพวกพืชสมุนไพรไว้ใช้เอง
เช่น ตะไคร้หอม ผลไม้สุกๆ ข่าแก่ๆ สะเดา ฯลฯ
ปรากฏว่าจากที่ทำนาปกติได้ข้าว 50-60 ถังต่อไร่ ตอนนี้ได้ 106
ถังต่อไร่ ถ้าทำนาในแนวทางนี้เราไปรอดแน่"
แต่คำถามตอนนี้ก็คือเกษตรพร้อมที่จะเริ่มตอนไหนเท่านั้นเอง
แรงบันดาลที่ทำก็เกิดจากพบปะพูดคุยกันของแกนนำ 5 ตำบล ทำให้รู้ปัญหา
ความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้เรียนรู้ว่านาปลอดสารพิษเป็นทางออกที่ดีที่สุด
การรวมตัวของแกนนำที่ทำนาสนใจเรื่องการพัฒนาศักยภาพชาวนาให้รู้เท่าทัน
พึ่งตนเอง และอยู่รอดได้ในภาวะวิกฤติ
รวมถึงมีการรวบรวมองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติจริงๆ เช่น
การคัดพันธุ์ข้าวเอง ปัจจุบันก็สามารถคัดพันธุ์ข้าวได้เอง
การทำนาไม่เผาฟาง การใช้น้ำหมักชีวภาพ
ทำให้ลดต้นทุนการผลิตจนประสบความสำเร็จปลดหนี้ได้ภายในไม่กี่ปี
นอกจากนี้ยังมี เครือข่ายเกษตรรวมมิตร
จุดเด่นอยู่ที่ความหลากหลายของพืชเกษตรหลายเผ่าพันธุ์ในสวน
ซึ่งมีระบบนิเวศน์แบบเกื้อกูล
พืชผักผลไม้ปลอดภัยรับประทานกันได้ตลอดทั้งปี
มีทั้งที่ตั้งใจปลูกและไม่ตั้งใจปลูก แต่มีผู้ช่วยจากภายนอก เช่น นก
แมลง ลม ดังที่ลุง สมพงษ์ ธูปอัน หนึ่งในเครือข่าย ต.ทับหมัน
อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร บอกว่า "ที่สวนมีเห็ดโคนขึ้นทุกปี
อย่างไก่ที่เลี้ยงไว้ก็ถ่ายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้
ผลไม้ที่เหลือกินหรือเสียก็โยนให้ปลาและไก่กิน ไม่เป็นขยะรบกวน
และมีสูตรสมุนไพรทำให้ไก่กิน ไก่จึงไม่เป็นไข้หวัดนก
เพราะแข็งแรงด้วยสมุนไพร"
สำหรับลุงสมพงษ์เป็นปราชญ์ชาวบ้านรุ่นหนึ่งที่ร่วมประจำจังหวัดเฉลี่ยทุก
3 เดือน และประชุมเกษตรรวมมิตรมา 3 ครั้งแล้ว
ที่ในสวนไม่โทรศัพท์เพิ่งมีโซลาร์เซลล์
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสวนของเขาเป็นอย่างมาก
ส่วน
เครือข่ายโรงเรียนทายาทเกษตร โรงเรียนวัดหนองปลาหมอ ต.หนองปล้อง
อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
ก็เป็นหนึ่งโรงเรียนที่ร่วมเป็นเครือข่ายทายาทเกษตร
ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมที่จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการกับชุมชน
สร้างการมีส่วนร่วมให้ชุมชนมีกิจกรรมต่างๆ
ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น
ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมาสอนการทำนาปลอดสารพิษ การปลูกต้นไม้ร่วมกัน
การทำอาหารในการประชุมต่างๆ
โดยมี
อ.ทิพวรรณ จันทรสุกรี ครูใหญ่เป็นผู้อำนวยให้ทุกฝ่ายมาร่วมมือกัน
เชื่อมประสานการพัฒนาเป็นเครือข่ายพื้นที่
และระดับจังหวัดในเครือข่ายโรงเรียนทายาทเกษตร
จุดประสงค์เพื่อให้เด็กเมื่อโตขึ้นสามารถมีอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างมีความสุขแบบพอเพียง
โดยที่ไม่ต้องมาหางานทำในเมืองหลวงและเป็นการสืบทอดอาชีพของบรรพบุรุษต่อๆ
ไปด้วย
สุดท้ายได้มีโอกาสไปเยี่มมชม เครือข่ายผักปลอดสาร ของลุง อินทร์
สงคราม ที่ อ.สามง่าม จ.พิจิตร
ที่เป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษที่มีแนวคิดอยากให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยบอกว่า
"เมื่อลองทำก็ได้ผลดี ผลผลิตออกมาก็ร่วมกันไปขายชุมชน
กลุ่มผักนี้ปลูกกระหล่ำปลีในฤดูหนาวได้งามมาก
ที่ยังไม่มีกลุ่มไหนทำได้นอกจากกลุ่มนี้
รวมทั้งปลูกคะน้า กวางตุ้ง ผักชี พริก ฟักทอง บวบ ปลูกผักปลอดสารมาได้
3 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีสารเคมีมากและคนส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจหาสิ่งดีๆ
ให้ตนเองได้กิน แต่กลับหาสิ่งอื่นๆ เสื้อผ้าสวยๆ ทองเส้นสวยๆ
ใส่ได้แม้จะมีราคาแพง ดังนั้นจึงอยากให้คนหันมาหาสิ่งดีๆ
ให้ตนเองจะได้มีอายุยืนปลอดโรค"
ตอนนี้มีสมาชิกที่สนใจและร่วมกันทำอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้
จวน ผลเกิด หนึ่งในเกษตรกรปลอดสารพิษจังหวัดพิจิตร
กล่าวทิ้งท้ายว่า
"ผลจากการทำเกษตรแบบพอเพียง ถึงแม้ว่าจะไม่รวย แต่ก็ไม่จนปัญญา
สบายใจที่ไม่เป็นหนี้ใคร ได้เพื่อนเยอะเหมือนพี่น้องกันทั้งนั้น
สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขทางใจ ถ้าเข้าถึงแล้ว
ชีวิตก็เป็นสุข..."--จบ--
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com
จากข่าวนี้จะเห็นว่า ความหมายของคำ "จัดการความรู้" คือการรวมกลุ่มกัน มาช่วยกันคิดช่วยกันทำ เป็นความหมายในเชิงปฎิบัติ และเครื่องมือเพื่อทำให้ดีขึ้น ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องบันทึก ต้อง update อยู่ตลอดเวลา ด้วยเวลาเพียง 2 วันของกิจกรรม KM สัญจร ทำให้ผู้สื่อข่าวเข้าใจได้ขนาดนี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดี หรือใครมีความคิดเห็นอย่างไร ก็เขียนมาแลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ.......
ไม่มีความเห็น