แก่… แค่เขียนคำนี้ ก็รู้สึกยังกับว่าตัวเองใช้คำหยาบคาย คำๆ นี้ไม่เป็นที่ปรารถนาของใครทั้งนั้น ไม่มีใครอยากแก่นี่นา แล้วของอย่างนี้ห้ามกันได้ยังไง
ในเมื่อคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นของธรรมดา เป็นสัจธรรม (สาธุ!) แต่เรื่องความแก่นั้น ถึงจะห้ามไม่ได้ ก็ยังพอมีทางชะลอมันลงได้ ชนิดที่ไม่ต้องเสียเงินไปดึงหน้าผ่าโน่นตัดนี่ซะด้วย วิธีการก็ไม่ยาก แค่เปลี่ยนสิ่งที่คิดเสียใหม่
“ความคิด” สามารถคงสภาพกระบวนการทางชีววิทยาที่ทำให้คนเราแก่ได้ ไม่เชื่อก็ต้องดูบทพิสูจน์กันหน่อย
ยี่สิบปีที่แล้ว นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีความคิดสวนทางกับสัจธรรมว่า ความแก่ไม่เป็นของธรรมดา จึงจำลองสิ่งแวดล้อมของสถานที่แห่งหนึ่งให้ย้อนยุคไป 20 ปี นำอาสาสมัครชายอายุ 75 ปีขึ้นไปกลุ่มหนึ่งมาใช้ชีวิตร่วมกัน ทุกคนติดป้ายภาพของตัวเองซึ่งถ่ายไว้เมื่ออายุประมาณ 50 ปีไว้ที่หน้าอกตลอดเวลา แต่ละวันในวงสนทนา พวกเขาจะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในสมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สมัยที่ภรรยายังสาว ลูกๆยังเล็ก แม้แต่การถกเถียงประเด็นการเมืองก็เป็นเรื่องในยุคนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อสิ้นสุดการศึกษา มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ร่างกายของชายเหล่านั้น เกิดปฏิกิริยาย้อนยุคไปด้วย หูของพวกเขาได้ยินเสียงดีขึ้น ดวงตามองเห็นชัดเจนขึ้น นิ้วมือเหยียดได้ตรงขึ้น หลังยืดตรงขึ้นได้ดีกว่าเดิม และมือของเขามีแรงบีบเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญนำผลการตรวจร่างกายมาประเมินก็พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วๆไปโดยเฉลี่ย พวกเขาอ่อนกว่าวัยลงถึง 3 ปี นี่ให้บทพิสูจน์กับเราว่า ความแก่อยู่ที่ใจ คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คนเหล่านั้นถูกเปลี่ยนความคิดให้ย้อนวันเวลา วัยก็เปลี่ยนย้อนกลับไปด้วย
เรื่องนี้แพทย์และนักจิตวิทยากลุ่มหนึ่ง ถึงกับมีความเชื่ออย่างสุดโต่งไปเลยว่า ทุกสิ่งที่ทำให้ร่างกายของเราแก่อยู่ที่ใจเพียงอย่างเดียว โดยอธิบายว่าคนเราแก่เพราะถูกโปรแกรมให้แก่ผู้วางโปรแกรมความแก่คือสังคม ซึ่งเราทั้งหลายยอมรับมาปฏิบัติกันเอง อาทิ หน่วยงานกำหนดว่าอายุ 60 ต้องเกษียณ หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า หญิงชราอายุ 50 ถูกทำร้าย อินเตอร์เนตลงโฆษณาว่า อยากรู้จักสาวใหญ่อายุ 23 ฯลฯ
สังคมบอกว่าอย่างนั้นคือแก่ บอกว่าแก่แล้วมีอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ แก่แล้วต้องทำอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ คนในสังคมที่ยอมรับถือปฏิบัติตาม ก็มีสภาพแก่ไปตามที่ถูกวางเงื่อนไข
กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยแย้งว่า
ความแก่เกิดจากหลายปัจจัย
แต่ก็เห็นด้วยว่าจิตใจก็เป็นปัจจัยหนึ่ง
เพราะไม่มีใครจะมีอำนาจเหนือความแก่ของคนๆหนึ่งได้
นอกจากตัวของคนผู้นั้นเอง อย่างไรก็ตาม
จากงานบุกเบิกของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ทำให้มีการศึกษาเรื่องความแก่เพิ่มขึ้นตั้งแต่นั้นมาอย่างต่อเนื่อง
จนขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า
ปัจจัยทางจิตวิทยามีส่วนสำคัญยิ่งในการทำให้คนเราคงความหนุ่มความสาวไว้ได้
ประกอบด้วย การมีความคิดที่กระตือรือล้น
การดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย และ
การมีชีวิตที่สมบูรณ์ด้วยความรัก
ปัจจัยทั้ง 3 คือกุญแจสู่การมีอายุเพิ่มขึ้นอย่างสง่าและงดงาม ทั้งนี้โดยมีข้อสนับสนุนจากงานวิจัยด้านสมองด้วย เพราะพบว่า ระบบประสาทส่วนกลางของคนเรา ทำงานประสานกับระบบภูมิคุมกันร่างกายและระบบอื่นๆ
ในการนำ “ความคิด” และ “ความรู้สึก” ของเรา ไปทำการรังสรรค์ร่างกาย “แก่หรือไม่แก่ อยู่ที่ใจ” “ อายุเป็นเพียงตัวเลข” ใครหนอช่างว่า ต่อจากนี้ไปไม่ใช่คำพูดลอยๆ ซะแล้ว
คนที่ไม่อยากแก่ คนที่อยากเลิกแก่ เชิญพิจารณาปัจจัยทั้งสาม แล้วลองทำตามก็แล้วกัน