Proceedings มหกรรมจัดการความรู้ ครั้งที่ ๒ (๑๕)
การจัดการความรู้ของโรงพยาบาลบ้านตาก จ.ตาก (๒)
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
นกคุ้มตัวนี้ ทำให้เรามองเห็นภาพกระบวนการจัดการความรู้ได้ชัดเจน
เราจะเห็นว่า การจัดการความรู้ส่วนขยะ เริ่มจากเป้าหมายองค์กร
ดูว่าองค์กรต้องการอะไร แล้วค้นหาปัญหา ใครมีความรู้เรื่องปัญหานั้นๆ
แล้วชักชวนมาแก้ปัญหาร่วมกัน มาคุยกัน เธอใช้เทคนิคการตั้งคำถาม
คนที่อยู่ในกระบวนการก็ร่วมคิด ก็เริ่มรู้ว่าความรู้ตรงนี้ยังขาด
จึงไปแลกเปลี่ยนกับข้างนอก สุดท้ายได้ขุมความรู้ นำมาทดลอง ได้ผลจริง
บอกต่อ เผยแพร่ไปยังชุมชน ซึ่งจะหมุนเกลียวความรู้ไปเรื่อยๆ
พักรับประทานอาหารว่าง
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
ช่วงนี้จะเป็นการดูคลังความรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญ
เพราะเมื่อเราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันแล้ว สุดท้ายเราต้องสกัดให้ได้
ประเด็นต่างๆ จะต้องจดบันทึกเป็นขุมความรู้
รูปแบบของคลังความรู้ มี 3 ส่วน คือ หนึ่ง ประเด็นสำคัญ
หรือหลักการที่ผู้เล่าได้ทำ เขามีหลักการ เคล็ดลับอะไร
มีอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องเล่า สอง เรื่องเล่า ผู้เล่าจะบอกว่า ใครทำอะไร
ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด จนกระทั่งผลลัพธ์ได้อะไรบ้าง และ สาม
แหล่งข้อมูล ใครเป็นผู้เล่า จะติดต่อได้ที่ใคร เบอร์โทรศัพท์
สถานที่ติดต่อ ในต่างประเทศใช้วิธีการอัดเทปเรื่องเล่าเป็น MP3 ไว้บน
internet ส่วนคนไทยจะใช้ตัวคนเป็นประโยชน์
เพราะเทคโนโลยียังไม่ดีพอเหมือนต่างประเทศ
เมื่อเช้าคุณลิขิต 2 ท่าน ได้สกัดคลังความรู้ตามรูปแบบคลังความรู้ทั้ง
3 ส่วนออกมาให้ท่านชมดังในภาพ
ซึ่งตอนเราทำจริง เราต้องบันทึกภาพ และนำไปไว้บนเอกสาร หรือ
website
อยากให้คุณวีรยุทธ์ สมป่าสัก เปิด web
ของสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชรให้ดู ซึ่งต้องปรับแต่งให้น่าสนใจ
และพัฒนาไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีขุมความรู้มาก
คุณวีรยุทธ์ สมป่าสัก :
การสกัดความรู้ขึ้นอยู่กับทักษะของคน
ซึ่งจะต้องคำนึงว่าเราจะไปรับความรู้เรื่องอะไร
เมื่อทราบแล้วถ้าเราไปดูงานหรือทบทวนความรู้
เราก็จะใช้เทคนิคการสกัดความรู้ เช่น ใช้ตัวบุคคล ใช้เทป
นำมาสกัดออกมาแล้วก็นำขึ้น web เราฝึกน้องที่เพิ่งจบ
มีโจทย์เรื่องส้มนอกฤดู เขาก็ทำการศึกษา
แล้วก็เขียนเป็นความรู้เชิงกระบวนการ เขาเรียนรู้ด้วย learning by
doing เขียนเป็นวิชาการส้มนอกฤดู แล้วนำขึ้น web
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
รูปแบบของคลังความรู้ คือ ทางทีมได้มาประยุกต์เรื่องเล่าจะปนไปกับภาพ
รูปแบบไม่จำเป็นต้องตีเป็น 3 ช่องหรือ 3 ส่วน
สามารถใช้ได้หลากหลาย
เราหันมาทางโรงพยาบาลบ้านตาก เวลาทำเรื่องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ใครเป็นผู้สนับสนุน วิธีการทำและรูปแบบเป็นอย่างไร
ลองเล่าให้ผู้ที่เข้าประชุมฟังหน่อยค่ะ
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
:
การเก็บคลังความรู้ เราจะมีคลังความรู้ที่ขึ้นทะเบียน
ถ้าไม่ขึ้นจะเป็นคลังความรู้เถื่อน
ซึ่งในคลังความรู้จะมีรายละเอียดว่าตอนนั้นเขาทำไปเพื่ออะไร อย่างไร
ได้อะไร
ความรู้บางเรื่อง กลไกบางอย่างต้องจดบันทึก
เพราะอาจมีผลถึงการขับเคลื่อนการพัฒนา
แล้วเราก็จะเก็บมาเป็นเรื่องเล่า
ซึ่งเราก็เลยคิดโครงการขุดค้นทรัพย์สินทางปัญญา
โดยช่วงเช้าชั่วโมงแรกเราจะมาขุดค้นองค์ความรู้
เรามีแบบฟอร์มให้เขาบันทึกว่าปัญหาคืออะไร จะไปเอาความรู้จากใคร
ช่องทางไหน แล้วซึ่งสิ่งที่เขาได้มาแล้วนั้นจะนำไปใช้อย่างไร
จะให้เขาเล่าให้ฟัง ซึ่งเราจะใช้หลักสมรรถภาพมาช่วยให้เขาทำงาน
เพราะถ้าระบบซีหายไป การประเมินอาจจะใช้สมรรถภาพแทน
ซึ่งจะทำให้เขาไม่ดื้อที่จะทำ เพราะได้ใช้ประโยชน์
และหลังจากที่ได้ความรู้มาแล้ว
ศูนย์สุขภาพจะจัดพิมพ์ให้
แล้วจัดความรู้ออกเป็นหมวดหมู่ใส่ไว้ใน Internet
ที่เปิดได้ในโรงพยาบาล 24 ชั่วโมง
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
ทั้ง 2 องค์กรต้องมีผู้สนับสนุน
ไม่ว่าจะเป็นผู้จดบันทึกเอาขุมความรู้ไปเผยแพร่ ส่วนที่สำคัญที่สุด
คือ จะเอาขุมความรู้/คลังความรู้ไปพัฒนางานได้อย่างไร
ถามอาจารย์สายัณห์ ปิกวงศ์
จากสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชรว่าคลังความรู้ที่เอาความรู้ขึ้น web
มากมาย ท่านจัดอย่างไร จัดความเชี่ยวชาญของคนอย่างไร
คุณสายัณห์ ปิกวงศ์ :
จาก web ของเรา เจ้าของความรู้ คือ เกษตรกร
เมื่อได้ความรู้ก็ต้องย้อนกลับไปสู่เกษตรกร
สำหรับในองค์กรระดับจังหวัด อำเภอ และเจ้าหน้าที่
เรามีระบบการทำงานอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นองค์ความรู้จะถูกแทรกเข้าไปในการประชุมทุกระดับ
โดยบรรจุอยู่ในวาระการประชุม
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ
:
ในคำถามเดียวกันนี้
ขอเชิญคุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์ จากโรงพยาบาลบ้านตาก
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
:
วิธีได้มาของคลังความรู้นั้น
ต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วม เมื่อได้คลังความรู้ถือว่าเป็นมติ ดังนั้น
ทุกคนต้องทำตามนี้
เมื่อคลังความรู้ได้ขึ้นทะเบียนก็แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารทุกระดับยอมรับในความรู้นั้น
ซึ่งความรู้นี้นั้นสามารถป้องกันการร้องเรียนได้
สำหรับการใช้ความรู้นั้น สามารถนำมาใช้ได้ตลอดเวลา
เช่น ไม่ว่าใครจะย้ายมา
แนวทางการควบคุมโรคไข้เลือดออกก็จะต้องใช้ความรู้นี้ ดังนั้น
คลังความรู้นี้จึงสามารถใช้ได้ ไม่ถูกกระทบกับบุคคลที่เปลี่ยนไป
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
การนำความรู้ไปพัฒนางานนั้น คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
ว่าเมื่อเราให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้
ในการใช้ก็ต้องใช้ด้วยกัน เมื่อได้ความรู้แล้วถือว่าเป็นมติของทีม
ใครไปใครมาก็ต้องใช้แบบนี้
ซึ่งการย้ายไปย้ายมาของบุคลากรจะมีปัญหาในเรื่องนี้มาก
ทางโรงพยาบาลก็ได้ใช้วิธีการนี้แก้ไขปัญหา
มีคำถามจากเวทีว่า ทุกองค์กรมีคนหัวดื้ออยู่
มีวิธีอะไรที่จะจัดการกับคนหัวดื้อที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
คุณสุภาภรณ์ บัญญัติ :
คนที่พูดอย่างเดียว ทางทีมต้องดูว่าเขาต่อต้านเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ
หรืออะไรแล้วค่อยแก้ไขไปตามนั้น บางทีก็ต้องใช้กฎหมู่ คือ
ถ้ากลุ่มนี้เป็นส่วนน้อย แล้วส่วนใหญ่พร้อมที่จะทำคุณภาพ
เดี๋ยวเขาก็ลดบทบาทลงไปเอง
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์ :
มีตัวอย่างว่า คนระดับล่างเวลาจะให้ทำอะไร จะตอบว่าไม่ทำ ไม่ว่าง
เราจะทิ้งเขาไว้ก่อน เราทำคนที่พร้อมก่อน
จัดเวลาให้คนที่พร้อมแสดงความสามารถ จนเขารู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ได้
แล้วจะหันมาร่วมพัฒนาเอง
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
สำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร มีวิธีแก้คุณหัวดื้ออย่างไร
คุณสายัณห์ ปิกวงศ์ :
มองไปที่หัวหน้า ต้องให้คุณเอื้อเห็นด้วยกับการพัฒนา
มองเพื่อนในองค์กรอย่างเข้าใจ เขาต้องมีจุดแข็ง
เราจะต้องเอาจุดแข็งของเขาออกมา นอกจากนั้น
เราสามารถใช้แฟ้มสะสมงานมาเป็นตัวแสดงผลงาน
ซึ่งคนที่ไม่เห็นด้วยก็จะพัฒนาเอง
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
มีคำถามว่า
มีเทคนิคอะไรให้ทุกคนในโรงพยาบาลร่วมมือร่วมใจกันทำการจัดการความรู้
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
:
มนุษย์รักตัวเองที่สุด เราก็เอาจุดนี้เดินเรื่อง
ดังนั้น อะไรที่เขาได้ประโยชน์ เขาก็จะทำ เช่น
การฝากคนขับรถส่งต่อผู้ป่วยซื้อของ ซึ่งทำให้เขาเบื่อ
เมื่อเขาทำการจัดการความรู้ ก็ให้เขาชวนคนทุกคนที่ใช้เขาซื้อของ
แล้วตั้งหัวข้อว่า การขับรถส่งต่อผู้ป่วยที่มีคุณภาพต้องทำอย่างไร
เขาก็ช่วยกันคิด สรุปเป็นคลังความรู้ว่า
ถ้าจะไปส่งต่อผู้ป่วยจะใช้เวลาไป 15 นาที กลับ 15 นาที
ซึ่งจะต้องทำตามนี้ และเมื่อใครจะฝากซื้อของ
ก็จะใช้ข้ออ้างการทำการจัดการความรู้นี้ปฏิเสธไป
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
ในฐานะที่เป็นคุณอำนวย ท่านใช้เทคนิคอะไรที่จะให้คุณกิจของหน่วยงาน
หันมาทำการจัดการความรู้ของตัวเองในงาน
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์ :
โรงพยาบาลบ้านตากเริ่มจากปัญหาในงาน
หยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้น
ถ้าอยากจะแก้ไขให้นำมาคิดร่วมกัน
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
มีคำถามอยู่ 2 คำถาม คือ หนึ่ง ในภาพรวมองค์กร
ในสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร มีกระบวนการคิด
สร้างคนมาเป็นคุณอำนวย คุณลิขิต หรือคุณกิจอย่างไร
กำหนดเป็นงานหนึ่งหรือคณะทำงานเฉพาะกิจหรือไม่ สอง
ในแต่ละปีทางหน่วยงานได้กำหนดเป้าหมาย
และแผนงานการจัดการความรู้หรือไม่
คุณวีรยุทธ์ สมป่าสัก :
เกษตรจังหวัดกำแพงเพชรมีเป้าหมายให้ทุกคนเข้ามาเป็นคุณอำนวย
เป็นวิทยากรกระบวนการตั้งแต่การจัดทำแผน การปฏิบัติ การประเมิน
การถอดองค์ความรู้ ซึ่ง 1 คนจะรับผิดชอบอย่างน้อยที่สุด 1 เรื่อง
โดยจะมีการยกระดับให้เขียนรายงานให้เป็นเรื่องเดียวกับงานประจำ
โดยจะต้องพัฒนาคนของเราก่อน ให้สามารถเป็นวิทยากรกระบวนการ
เพื่อขยายผลไปยังเกษตรกร
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
:
วิธีสร้างคุณอำนวยของโรงพยาบาลบ้านตากคือ เปิดรับสมัครโดยความสมัครใจ
ถ้าไม่ครบเราจะไปชักชวนน้องๆ เวรเช้า ที่มีคุณสมบัติและใจพร้อม
และให้ผู้อำนวยการเป็นผู้เลือกคุณอำนวย โดยมีเป้าหมายคือ
คุณอำนวยจะต้องทำงานให้เราได้ และไม่ท้อ
ซึ่งเราจะต้องผูกยึดเขาไว้ให้ได้คือ หนึ่ง มอบหมายงานให้ชัดเจน
สร้างความเป็นเจ้าของ ให้เขาคิดเองอย่างเต็มที่
เราจะเอาคุณอำนวยมาตกลงกันก่อนว่ากิจกรรมที่เราจะลงไปทำกับคุณกิจนั้นเราจะทำไปเพื่ออะไร
จะใช้องค์ความรู้อะไร ทั้งนี้เพื่อคุณอำนวยทุกคนจะได้พูดตรงกัน สอง
ในฐานะที่เราเป็นประธานคุณอำนวย เราจะให้ประโยชน์ที่เขาพึงได้ เช่น
ตอบแทนการทำการจัดการความรู้
โดยให้เป็นงานพิเศษเพื่อพัฒนาความดีความชอบ
ซึ่งผู้บริหารก็เห็นด้วย
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ
:
ในเรื่องของแผนต้องทำแผนหรือไม่
คุณเกศราภรณ์ ภักดีวงศ์
:
แผนทุกอย่างจะบูรณาการไปด้วยกัน แผนทุกเรื่องคือการจัดการความรู้
ทุกคนต้องตอบได้ว่าแผนของเขาอยู่ในยุทธศาสตร์ใด
เราไม่ได้ทำแผนการจัดการความรู้ เป็นการเฉพาะ
เราพยายามให้คนในองค์กรของเราไม่รู้สึกว่ากำลังทำการจัดการความรู้
บางคนก็ไม่รู้ว่ากำลังทำการจัดการความรู้
แต่รู้ว่ากำลังทำคุณภาพอยู่
เวลาเขาทำกิจกรรมอะไร เขาต้องตอบได้ว่า
ประชาชนได้รับอะไรจากสิ่งที่เขาทำอยู่ ทำแล้วได้อะไร องค์กรได้อะไร
ทุกอย่างจะถูกบรรจุอยู่ในวิถีประจำวัน ไม่มีการจัดการความรู้ ไม่มี HA
ทุกอย่างคือเครื่องมือเรื่องคุณภาพ
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
นั่นคือการบูรณาการทุกอย่างในองค์กรให้เป็นเรื่องเดียวเพื่อไม่ให้สับสน
ขอถามคุณวีรยุทธ์ สมป่าสัก
ว่าอะไรคือแรงจูงใจในการทำการจัดการความรู้
คุณวีรยุทธ์ สมป่าสัก :
เราเข้าใจว่าการจัดการความรู้คืออะไร
เรามองการจัดการความรู้เป็นโอกาสที่จะช่วยเสริมให้เราทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งมีองค์ประกอบหลายตัวที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาองค์กร
เพราะการจัดการความรู้จะมีทั้งเป้าหมาย
กลยุทธ์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เราไม่ได้ทำสิ่งใหม่แต่ได้งานดีขึ้น
ถ้าองค์กรไม่ทำการจัดการความรู้องค์กรจะอยู่ลำบาก
เราต้องเริ่มทำเรื่องเล็กๆ ไปเรื่องใหญ่ ทำจากข้างในออกมาข้างนอก
ทำเท่าที่เราทำได้ ง่ายไปหายาก ทำแล้วสนุกมีความสุข
คุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ :
สรุปประเด็นในภาพรวมคือ ทั้ง 2 องค์กรมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน
ผู้รับบริการในส่วนสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชรคือเกษตรกร
ในขณะที่ของโรงพยาบาลบ้านตากคือ ผู้ป่วย ญาติ ชุมชน
ชาวบ้านทั้ง 2
องค์กรใช้การจัดการความรู้มาพัฒนาและมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ
การมองเป้าหมายของงาน พันธกิจ หน้าที่หลักขององค์กรเป็นหลัก
แล้วมองว่าถ้าจะไปทำในหน่วยงานต้องทำอะไร
ค้นหาความรู้ในตัวคนในองค์กรว่ามีหรือไม่มีความรู้ในหน้าที่หลัก
หลังจากนั้นต้องดูว่าเรายังขาดความรู้อะไรที่ต้องแสวงหาจากภายนอก
เอาความรู้ที่ได้มาสกัดเป็นคลังความรู้ มาเผยแพร่โดยใช้เทคนิค เช่น
web เป็นต้น ทำแผนที่คนในองค์กร ใครเก่งเรื่องอะไร จัดระบบ ระเบียบ
ถ้าจะให้ยั่งยืนต้องมีระบบกระตุ้นในองค์กร อาจผูกติดกับระบบประเมินผล
เมื่อได้ความรู้แล้วเอาความรู้ไปพัฒนางาน
ดูผลลัพธ์เปรียบเทียบก่อนกับหลังการพัฒนา
เครื่องมือที่เลือกใช้ต้องเหมาะสมกับบริบทของงาน
ให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม ทำเรื่องเล็ก และง่ายก่อน
ต่อจากนี้จะเริ่มทบทวนหลังปฏิบัติการหรือทำ AAR
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ปฏิบัติเมื่อทำกิจกรรมเสร็จสิ้น
เป็นการหาข้อเสนอแนะแก่ทีมงานเพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำกิจกรรม
แล้วถอดบทเรียนจากกิจกรรมนั้นไปสู่กิจกรรมอื่น
สร้างความเชื่อมั่นให้กับคณะทำงาน พัฒนาศักยภาพทีมงาน
สิ่งต้องห้ามสำหรับ AAR คือ การวิพากษ์ วิจารณ์ เราจะไม่บอกว่าใครถูก
ใครผิด AAR
มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เพื่อหาโอกาสพัฒนาในทีม
ในการทบทวน AAR จะขออาสาสมัครในการตอบคำถาม
คำถามที่ 1 ท่านมีเป้าหมายอะไรบ้างในการมาร่วมประชุมครั้งนี้
ผู้ร่วมประชุม เพื่อรับทราบกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละหน่วยงาน
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้
ผู้ร่วมประชุม มาฟังว่า best practice
ที่อื่นมีขั้นตอนอะไรที่แตกต่างจากเราที่สามารถเอาไปใช้ได้
คำถามที่ 2 ท่านบรรลุเกินเป้าหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ผู้ร่วมประชุม บรรลุเกินเป้าหมาย โดยเฉพาะของโรงพยาบาลบ้านตาก
เพราะฟังแล้วเห็นภาพในกระบวนการว่านำไปใช้อย่างไร
โดยเฉพาะการที่ไม่บอกคนในหน่วยงานว่าอะไรคือการจัดการความรู้
เพราะรู้แล้วอาจไม่ทำ
ผู้ร่วมประชุม บรรลุเกินเป้าหมาย
คำถามที่ 3 ส่วนใดที่ท่านยังไม่บรรลุตามเป้าหมาย เพราะเหตุใด
ผู้ร่วมประชุม ไม่มีอะไรที่ไม่บรรลุเป้าหมาย
ผู้ร่วมประชุม ไม่มีอะไรที่ไม่บรรลุเป้าหมาย
คำถามที่ 4 ท่านคิดวางแผนทำอะไรต่อ
หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
ผู้ร่วมประชุม ที่คิดไว้ คือ
จะร่วมวางแผนในหน่วยงานว่าจะทำการจัดการความรู้อย่างไรให้ทั่วทุกหน่วยงานในองค์กรคล้ายกับที่โรงพยาบาลบ้านตาก
ผู้ร่วมประชุม หลังจากฟังแล้ว
จะเอาไปทำการจัดการความรู้ที่ศูนย์วิจัยของโรงพยาบาลมหาราช
จะกระตุ้นกลุ่มพยาบาลก่อน สร้างการแบ่งปันให้เกิดขึ้น ถอดบทเรียน
บันทึกให้เป็นคลังความรู้
สิ้นสุดการประชุม