การเสวนาเรื่อง “การสร้างความรู้ในสังคมไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
เรื่องนี้เคยเล่าไว้แล้วเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.48 (click) การประชุมวันนี้ (13 ก.ค.48) มีคุณภาพสูงมาก มีการนำเรื่อง KM ที่เกิดขึ้นเองถึง 9 กรณีศึกษา คือที่ริเริ่มโดยภาคชุมชน 5 กรณีศึกษา ริเริ่มโดยภาคธุรกิจ 2 กรณีศึกษา และริเริ่มโดยภาควิชาการ 2 กรณีศึกษา นำเสนอโดย ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ เจ้าของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก คุณภาพสูงสุดจากมหาวิทยาลัยปอยเตียร์ส์ ประเทศฝรั่งเศส และเล่าเสริมโดยผู้ริเริ่มในแต่ละกรณีศึกษา มีผู้เข้าร่วมเสวนาประมาณ 40 – 50 คน ผู้ที่พลาดโอกาสนี้โปรดรอหนังสือที่จะออกจำหน่ายในงานมหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 วันที่ 1 – 2 ธ.ค.48 หรือจะติดต่อขอซื้อ CD เสียง หรือ VCD จาก สคส. ก็ได้
ผมจะไม่รวบรวมประเด็นการสร้างความรู้ที่เกิดขึ้น และจะไม่สังเคราะห์เรื่องการสร้างความรู้ในสังคมไทย แต่จะตั้งข้อสังเกตความประทับใจบางประเด็นเชื่อมโยงกับการจัดการความรู้ในสังคมไทย
1. การจัดการความรู้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ในกระบวนการริเริ่มสร้างสรรค์ต่าง ๆ กรณีศึกษาที่นำมาเสวนา 9 กรณี มีเพียงกรณีเดียวคือโครงการฟ้าสู่ดินของครูบาสุทธินันท์ที่ตั้งใจดำเนินการ KM นอกนั้นดำเนินการโดยไม่รู้จัก KM แต่ใช้ KM ในการดำเนินการ แต่เป็น KM แบบไม่เต็มรูป ไม่มีแบบแผนชัดเจน
2. ไม่ยอมแพ้ และสร้างความรู้ต่อเนื่อง ต่างก็ผ่านการต่อสู้กับอุปสรรคความยากลำบากและความล้มเหลวมาก่อนทั้งสิ้น แต่ไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียนรู้ เอาชนะอุปสรรค แต่ในปัจจุบันบางกรณีศึกษาก็อยู่ในช่วงที่เสี่ยงต่อการอยู่รอด และทุกกรณีศึกษาต้องเรียนรู้หรือสร้างความรู้ขึ้นใช้เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา
3. คิดเชื่อมโยงและซับซ้อน ผู้ดำเนินการกรณีศึกษาทุกโครงการเป็นคนมีความเชื่อและเป้าหมายที่ชัดเจนมุ่งมั่น มีแนวคิดหรือยุทธศาสตร์การทำงานที่น่าพิศวงทุกคน และที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือคำอธิบายของคุณประยงค์ รณรงค์ (ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซ คนล่าสุด) เกี่ยวกับโครงการโรงงานแป้งขนมจีน จ. นครศรีธรรมราช ชี้ให้เห็นวิธีคิดเชิงอยู่ร่วมกัน เกื้อกูลกันของชุมชนต่างระบบนิเวศ ที่เรียกว่า ยมนา คือ ย – สวนยาง, ม – ไม้ผล, นา – ชาวนา โครงการโรงงานแป้งขนมจีนเกิดขึ้นภายใต้ความคิดของการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนพึ่งตนเองในระดับที่กว้างขวางกว่าชุมชนเดียว คือเป็นเครือข่ายของชุมชน
4. สร้างและใช้ความรู้ทั้งที่เป็นความรู้ท้องถิ่นและความรู้เชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่สำคัญคือใช้และสร้างความรู้โดยยึดบริบทของตัวเองเป็นฐาน เอาความรู้ไม่ว่าจะมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือที่เป็นความรู้สมัยใหม่ มาทดลองใช้ และเก็บข้อมูล สังเกต และปรับปรุง เพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ
5. ความรู้ที่มีพลัง ในการเสวนาวันนี้ ผมสังเกตเห็น (และเชื่อว่าผู้เข้าร่วมเสวนาก็เห็น) พลังการสร้างความรู้ของ ดร. ยุวนุช ภายใต้ความเชื่อ และความเห็นคุณค่าของความรู้ 2 สาย คือสายภูมิปัญญาไทย (ท้องถิ่น) กับสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยที่จะต้องรู้จักใช้ความรู้ทั้ง 2 สายอย่างผสมกลมกลืนกัน ดร. ยุวนุชได้ชี้ให้เห็นการใช้ของที่เป็นขั้วตรงกันข้ามให้เกิดพลังเสริม (synergy) ซึ่งกันและกัน คือความรู้สายภูมิปัญญาท้องถิ่นมีลักษณะเคารพธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ความรู้สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยมีลักษณะเอาชนะธรรมชาติ
ดร. ยุวนุช ได้อ้าง ดร. เสรี พงศ์พิศ ว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นมี 2 มิติ คือมิติที่เป็นรูปธรรมหรือเทคนิค กับมิติที่เป็นนามธรรมหรือวิธีคิด ดังนั้น ในการใช้ความรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องใช้โดยเข้าใจทั้ง 2 มิติ ไม่ใช่ใช้เพียงมิติเทคนิค นี่คือหัวใจของความสำเร็จของกรณีศึกษาทั้ง 9 ที่เราสัมผัสได้จากคำบอกเล่าของผู้ริเริ่มกรณีศึกษา
ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จะมีพลังก็ต่อเมื่อผู้ใช้ใช้ทั้ง 2 มิติของความรู้
ความรู้ที่มีพลัง คือความรู้ที่นำไปสู่ความ กล้าที่จะแตกต่าง หรือกล้าที่จะทวนกระแส ไม่ทำตาม ๆ กันไป เห็นได้ชัดเจนในกรณีศึกษาทั้ง 9
6. อย่าเข้าใจผิด ว่าผลงานวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์นี้แสดงสภาพการสร้างความรู้ในสังคมไทยโดยทั่วไป นี่เป็นการยกมาเฉพาะตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ ส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จคงจะมีมากกว่านี้หลายเท่า เราใช้ยุทธศาสตร์ขยายความดี คือเอาความสำเร็จมาศึกษา ตีความ เพื่อขยายความสำเร็จนั้นไปให้ทั่วแผ่นดินไทย
แต่ต้องตระหนักว่า ความสำเร็จนั้นห้ามลอกเลียน หรือลอกเลียนกันไม่ได้ ต้องเอา
ความรู้ไปทดลองในบริบทของตัวเอง ดังกรณีคุณสินชัย บุญอาจ แห่ง ต.หนองพยอม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เล่าว่าตนปลูกและคัดพันธุ์ข้าวพื้นเมือชื่อข้าวขาวอากาศ ได้ข้าวสารที่นุ่ม กินอร่อยมาก แต่เมื่อมีคนเอาพันธุ์ไปปลูกในจังหวัดเดียวกัน ห่างออกไปเพียง 30 กม. ก็ได้ข้าวสารที่แข็ง กินไม่อร่อย
7. ไม่สรุปสูตรการจัดการความรู้ ในการประชุมทำนองนี้ มักมีคนมาบอกผมว่า คนเข้าประชุมจะงงว่าเกี่ยวกับ KM อย่างไร ควรจะสรุปขั้นตอน KM ในตอนท้าย ผมมาคิด ๆ ดูแล้ว มีความเห็นว่าสรุปไม่ได้ และไม่ควรสรุป เพราะในกระบวนการทำงานเหล่านี้มีการจัดการความรู้ (แบบประยุกต์) อยู่เต็มไปหมด คนที่มองโดยใส่แว่น KM ก็เห็น KM คนที่มองโดยใช้แว่น CQI ก็เห็น CQI และที่สำคัญ ท่านที่สร้างความสำเร็จเหล่านั้น ไม่มีใครเลยที่มีความมุ่งมั่นจะทำ KM ความมุ่งมั่นหรือผลสำเร็จที่ต้องการคือตัวผลงาน ไม่ใช่ KM ถือ KM เป็นเครื่องมือ และเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวในท่ามกลางเครื่องมือนับร้อยชิ้นที่ใช้ในการทำงาน
ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ บรรยากาศการเสวนา
วิจารณ์ พานิช
14 ก.ค.48
หมายเหตุ
สคส. มีการประชุมวิชาการครั้งต่อไปดังนี้
· 28 ก.ค.48 เสวนาเรื่องราวความสำเร็จของ KM ในหน่วยราชการ ที่โรงแรมเอเชีย 09.00 – 16.30 น.
· 18 ส.ค.48 นำเสนอการจัดการความรู้ช่วงระยะเวลา 40 ปี อยุธยา ที่ รพ.เปาโล 09.00 – 12.00 น.
ดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ www.kmi.or.th
ไม่มีความเห็น