ป้าเจี๊ยบ
น้อง พี่ อา ป้า ครู อาจารย์ คุณ นางสาว ดร. รศ. ฯลฯ รสสุคนธ์ โรส มกรมณี

เรื่องจริงของการโกหก


"ในคอลัมน์ Life&Soul นิตยสาร Spice"

     โกหก..  แม้จะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย  ก็อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดหวังตามมา

     ถ้าสวรรค์มีจริงและรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา  เมื่อใดที่เราพูดโกหก  เราก็น่าจะถูกลงโทษให้จมูกยื่นยาวออกมาทุกครั้งเหมือนพินอคคิโอ
     แต่ความจริงก็คือ  เวลาโกหกไม่มีใครมาลงโทษเราโดยตรง  และน้อยคนนักที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่โกหก  ส่วนใหญ่จะทำเพื่อรักษาน้ำใจของบุคคลอื่น  ไม่อยากทำร้ายความรู้สึก  หรือเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
     การโกหก  แม้จะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ก็อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดหวังตามมา และผลที่ว่านี้สามารถสร้างความเดือดร้อนได้มากกว่าการบอกความจริง  เมื่อคุณไม่สามารถที่จะแก้ไขเรื่องที่โกหกไปแล้วให้เกิดความถูกต้องได้  คุณก็จำต้องสร้างเรื่องโกหกต่อไปอีก  เพื่อให้สิ่งที่พูดไปแล้วดูน่าเชื่อถือ  ตรงนี้แหละที่ยาก
     เซอร์วอลเตอร์ สกอต  นักประพันธ์ที่ฉันชื่นชมพูดถึงการโกหกได้ถูกใจนัก เธอว่า  “O What a tangled web we weave. When first we practise to deceive”  การโกหกที่เราคิดว่า “ไร้อันตราย” จึงสามารถสร้างผลกระทบที่คาดไม่ถึง หรือความวุ่นวายแบบลูกโซ่ หรือแบบโยงใยพัวพันเป็นเขาวงกตได้

     เมื่อจำแนกการโกหกของคนเราออกเป็นรูปแบบต่างๆ จะพบว่ามีดังนี้  และเราทุกคนต้องเคยทำมาแล้วอย่างน้อยก็แบบหนึ่ง... ถ้าไม่โกหกตัวเอง?!?
 
     โกหกแบบแก้ตัว
     ลักษณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากที่สุดในภาวะการทำงาน  โกหกเพื่ออธิบายว่าทำไมงานจึงไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด  หรือเกิดในสังคม เมื่อต้องการบอกปฏิเสธการเชิญชวน หรือหนีภาระความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
     กรณีที่ไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสนักคือ การโกหกเพื่อให้ตนเองดูดีในสายตาคนอื่น แต่ที่สาหัสคือ การโกหกในที่ทำงานซึ่งแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบ ต้องการหลีกเลี่ยงการถูกว่ากล่าว หรือ ต่อว่า    หากเกิดความผิดพลาดในสถานการณ์การทำงาน  ไม่มีใครต้องการคำแก้ตัว  ยิ่งถ้าคำแก้ตัวนั้นถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหก  บุคคลนั้นก็จะไม่ได้รับความไว้วางใจอีกต่อไป และถูกมองว่าไร้เสมรรถภาพ
     ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่มักแก้ไขได้  แต่เราไม่มีทางที่จะแก้ไขความรู้สึกของบุคคลอื่นที่มองว่าเราเป็นคนที่ชอบโกหกเพื่อเอาตัวรอดจากปัญหา
 
     โกหกแบบเบนเรื่อง
     การโกหกแบบนี้คล้ายกับแบบแรก เพียงแต่แทนที่จะอ้างโน่นอ้างนี่ เช่น รถติด  ไฟไหม้ ฯลฯ เป็นการโยนความผิดไปให้สิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คนที่เป็นแบบนี้คือพวกที่กลัวและขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่เชื่อว่าจะมีใครได้รับโอกาสครั้งที่สองเพื่อแก้ไขความผิด  ดังนั้นแทนที่จะยอมรับความผิด ก็ใช้การโกหกแทน
     การแอบอ้างเอาความคิด ผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มนี้ บางคนรับคำยกย่องชมเชยในสิ่งที่ตนเองไม่สมควรจะได้รับ  โดยโกหกตนเองว่าเหมาะสมที่จะได้  เลือกที่จะไม่แก้ไขความเข้าใจผิดนั้นโดยทำเฉย ปล่อยให้คนอื่นคิดว่าจริง
 
     โกหกแบบสร้างภาพลวงตา
     บางครั้งเราเปลี่ยนข้อเท็จจริงบางอย่างไปจากเดิมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี ให้ผู้อื่นประทับใจ
     การโกหกแบบนี้มักจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราเองขาดความมั่นใจอยู่เดิม อาทิ อายุ น้ำหนัก การศึกษา เงินเดือน ตำแหน่งการงาน ฯลฯ คนที่โกหกในลักษณะเช่นนี้จะเหมือนติดกับ   ดิ้นไม่หลุด   เพราะต้องโกหกต่อเนื่อง
     การแก้ไขที่ดีคือบอกความจริงไปซะ  ตัดเส้นใยของการโกหกให้ขาดสะบั้นลง  เพื่อนแท้จริงไม่เลิกคบกันเพราะเราเกิดเป็นลูกคนขับสามล้อ หรือเรียนจบโรงเรียนวัดหรอก แต่ถ้าจะมีคนคิดอย่างนั้น  เรายังจะคบเป็นเพื่อนอีกหรือ?
 
     โกหกโดยปิดบังข้อมูลบางส่วน 
     แบบนี้เกิดขึ้นมากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน  เพื่อบิดบังความจริงที่จะทำให้เราไม่ได้ทำงานนั้น หรือการบอกความจริงไม่หมดเมื่อมีคนถาม  จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด  หรือทำให้อีกฝ่ายสรุปไปเองในลักษณะที่ไม่ใช่ความเป็นจริง
     การโกหกเช่นนี้อาจทำร้ายหรือเป็นอันตรายกับคนอื่นที่รับข้อมูลแล้วไปตีความแบบผิดๆ หรือรับรู้ข้อมูลไม่ครบ   นอกจากนี้ การไม่บอกความจริงเมื่อมีคนโทษว่าเป็นความผิดของอีกคนหนึ่ง ทั้งๆที่เป็นความผิดของเรา ก็ถือว่าเป็นการโกหกด้วยเช่นกัน  แม้ว่าจะไม่พูดอะไร 

     โกหกแบบบริสุทธิ์ 
     โกหกด้วยการพูดให้ผู้อื่นรู้สึกดีเมื่อเรื่องจริงเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ    นักจิตวิทยาเห็นด้วยว่า การโกหกแบบบริสุทธิ์ ซึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่า โกหกสีขาว (white liar) บางกรณีก็เป็นสิ่งดี  เนื่องจากการพูดความจริงบางครั้งก็เป็นการทำร้ายจิตใจผู้อื่น  แต่หลายคนก็อยากได้ฟังความเห็นที่เป็นจริง แม้ว่าจะเจ็บปวดในใจ  

     การโกหก ไม่ว่าจะขาว เทา หรือดำ  มีผลกระทบต่อจิตใจทั้งสิ้น  ดังนั้นการได้สารภาพว่าโกหก
จึงเป็นความเจ็บปวดที่นำไปสู่ความสบายใจ  การโกหกเป็นกระบวนการที่ดูดพลังสมองและทักษะของคนเราไปใช้อย่างไม่ถูกทาง โดยต้องอาศัยพลังงานทางอารมณ์ปริมาณมาก 
     เอาพลังนี้ไปใช้สร้างสรรค์และพัฒนาชีวิตของเราเองโดยยึดนโยบายอยู่กับความจริงน่าจะดีกว่า  จริงมั๊ย?!?

คำสำคัญ (Tags): #ชีวิต
หมายเลขบันทึก: 12753เขียนเมื่อ 19 มกราคม 2006 15:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 00:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ไม่ได้ตั้งใจที่จะโกหก แต่ไม่อยากที่จะพูดความจริง

เพราะ มันอาจทำร้ายจิตใจของทั้ง2ฝ่าย

รู้ตัวว่า ทำผิด สำนึกถึงการต้องโกหก มันทรมานจริงๆ

การที่เราต้องปิดบังความจริง ทั้งไม่สบายใจ และกังวล

ต่อไปนี้ ขอสัญญากับตัวเอง จะไม่โกหกอีก

มันเจ็บเหลือเกิน ที่ต้องโกหกคนที่ไว้ใจเรา

แต่ก้ไม่อาจให้เขาต้องไม่สบายใจ

ฉันขอโทษ สำนึกแล้วกับการต้องพูดเรื่องไม่จริง

................

เก๋เองก็โกหเกือบทุกแบบเลยค่ะ บางเรื่องก็เพราะจำเป็น จึงต้องโกหกค่ะ ^__^

จูนรักจิมไม่เคยโกหกใครค่ะ

ฉันไม่เคยโกหกใครและรักใครก็รักจิง ไม่ทิ้งใครก่อน รักใครรักแน่นอน แต่ทามมายยโดนทิ้งก่อนทุกที แค่อยากจะถามเหตุผลใดที่เทอเบื่อฉันบอกให้เป็นรางวัลกับคนที่รักเทอหมดหัวใจ บางครั้งที่หัวใจโดนทามร้ายมันเจ็บจนปางตายเลยใช่ป่ะ และ การที่โกหกใครมันทามให้เราเจ็บฝั่งลึกอยู่ในใจฉันจะไม่ฟังใครแก้ตัวอีกต่อไป

โดนเพื่อนใส่ร้าย หาว่าเราไปโกหกคนนู้คนนี้ จะให้ทำยังไงล่ะคะ

บอกใครไปก็ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน ขี้เยจจะพูดอะไรทั้งนั้น

มันเหมือนเป็นการแก้ตัววววว

เพื่อนที่รักกันจริงเขาจะเอาเรื่องไม่จริงไปพูดกับคนอื่นให้คนอื่นมองเรา

ไม่ดีไม๊คะ

สำรวจตัวเองดูนะคะว่า ทำไม "บอกใครไปก็ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน"

ถ้ารู้จัก "ตัวเอง" เป็นอย่างดี อาจารย์แน่ใจว่าไม่มีอะไรต้องกังวลเลย

โดนโกหกมาตลอดแล้วก๊รู้ตลอดว่าโกหกแต่ทำยังไงก็ไม่ยอมเลิกเค้าบอกว่าไม่ได้โกหกแต่สุดท้ายโกหกทุกทีไม่ใช่แค่โกหกแต่ทั้งผิดสัญญา ลืมบ้าง เจ็บปวดจังและสิ่งที่เจ็บที่สุดคือการถูกทิ้งให้รอคอยกับคำโกหก

ตอนนี้รุ้สึกแย่มากทำไมเจอแต่เรื่องแบบนี้ หนูย้ายหอมาอยู่หลังมหาลัยอยู่ห้องแรกชั้นแรก มีระเบียงติกลานจอดรถคือห้องหนูอยู่ติดพื้นเลยเวลาคนเดินรึหนูทำอะไรที่ระเบียงก็จะเห็นคะ อยู่ไม่ถึงเดือนรุ้สึกเหมือนมีคนแอบดูตอนอาบน้ำเพราะห้องน้ำอยู่ข้างนอกที่เป็นระเบียง ตอนแรกก็แค่สงสัยคิดว่าระแวงไปเอง แต่เคยลองทดสอบหลายครั้ง โดยที่เวลาเปิดไฟห้องน้ำคือจะออกไปอาบน้ำต้องมีรถมอไซคันเดิมคนเดิมมาทุกเย็น จนบางครั้งกลัวจนไม่ได้อาบน้ำรออาบเช้า หนูก็สงสัยว่าเค้ารุ้ได้ยังไงว่าเราจะอาบน้ำจนคิดไปคิดมา รึว่าเปนลุงยามซึ่งลุงยามเค้าจะเฝ้ายุ่ป้อมติดกับห้องหนูเลยคือผนังห้องติดกัน วันนึงหนูจึงลองเปิดไฟห้องน้ำแล่วออกไปทำเหมือนจะอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนใจปิดไฟเหมือนไม่อาบทำแบบนั้นอยู่เกือบชั่วโมงเลย ทุกครั่งที่ปิดไฟเค้าจะขี่รถออกไป พอเปิดก็มาเหมือนเฝ้าดูเราตลอด แต่หนูยังไม่บอกในตึกเลย แต่โทรคุยกะพ่อแม่ตลอดว่าเหมือนคนแอบมองแต่ไม่รุ้ว่าใคร แล้วลุงยามคงได้ยินตอนโทรศัพท์มั้งค่ะหนูคิดว่า เค้าเอาเรื่องไปพูดว่าหนูหาว่าพี่ผู้ชายที่ยุ่ตึกเดีญวกันแอบดู หนูงงเลยค่ะ โดนผุ้ใหญ่ในตึกหาว่า ตอ...หนูรุ้สึกแย่มากว่าทำไมเค้าอายุ่ปูนนี้ถึงได้ไม่ปราณีหนูเลยทั้งที่เรื่องของเรื่องหนูก็ยังไม่ปริปากบอกใครเลย หนูไม่รุ้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่ขี่มอไซต์เป็นใครเค้าใส่หมวกกันน็อคตลอดอิอย่าง ไม่รุ้จักคนในตึกซักคน นอกจากป้าที่เป็นเจ้าของ กับยามเฝ้าหอ หนูไม่ได้โกหกแล้วก็ไม่ได้คิดว่าเป็นพี่คนนั้นเลย แต่ทำไมมันเป็นแบบนี้ อยากจะย้ายหอมากค่ะแต่ก็อยู่ยังไม่ถึงสองเดือน ทุกใจที่สุดเลยอยู่แบบอึดอัด ตอนนี้หนูยังไม่รุ่ว่าเป็นใครแต่คิดว่าคงเป็นยามที่มันทำเรื่องโกหก หนูไม่กล้าพูดหรืออธิบายเลย ยังไงหนูก็สู้เค้าไม่ได้อยู่คนเดียวอีก ทำไมเค้าใจร้ายจัง หนูไม่รุ้จะทำยังไง หอในกทมหายาก แล้ว เป็กทุกข์ที่สุดเลยปรึกษาใครก็ไม่มีแย่มาก เป็นผู้ใหญ่แต่ทำไมไม่คิดเลย ไม่เคยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ด่าอย่างเดียวด่าแบบหยาบคาย หนูแค่เด็กน้อย ทำไมเค้านิสัยแบบนี้ หนูคงต้องย้ายอิกแล่วแต่ต้องทนใครครบสองเดือน ค่ามัจจำก็แสนแพง หอในกทม หายากมาก จะไปยุ่หอหญิงก็ห้องน้ำรวม คิดไม่ตกเลย กรุณาช่วยแนะแนวทางหนู่หน่อยค่ะ

เข้มแข็ง อยู่ต่อไป  ต้องหัดอาบน้ำแบบโบราณให้เป็น คนสมัยก่อนนุ่งกระโจมอกอาบน้ำกลางแจ้งยังทำได้  ไม่เห็นต้องกลัวเวลาใครมอง  ยิ่งนุ่งกระโจมอกอาบในห้องน้ำ ยิ่งไม่ต้องคิดมาก...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท