สวัสดีครับ นกไฟ
ข้อความต่อไปนี้ผม (หมออภิชาต) ฝากเขาพิมพ์ให้อีกที ถ้าต้องนั่งพิมพ์เองสงสัยคงจะต้องใช้เวลา เป็นวัน เขียนแล้วฝากให้เขาพิมพ์ไวกว่า
ผมติดตามอ่านจิตปัญญาเวชศึกษา : บัณฑิตแพทย์ที่มีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ หลังจากที่เข้าวงน้ำชามา อ่านแม่มด พ่อมด หมอผี พออ่านจิตปัญญาเวชศึกษาของนกไฟแล้ว เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะสอนเรื่อง คุณธรรมให้กับนักศึกษาแพทย์มากขึ้น เดิมมีความคิดจะสอนอยู่บ้างในขณะที่ นศพ. ปี 5 และ 6 ผ่านกลุ่มงานกุมารเวชกรรม แต่ถ้าต้องสอนทุกรุ่นคงจะทำได้ยาก เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเวลาที่สอน พยายามจะนำความรู้จากสุนทรียสนทนาไปสอน นศพ. แต่พอมาอ่านบทความของนกไฟแล้วความคิดเปลี่ยนไป คราวนี้อยากสอน นศพ. ทั้งชั้นปี แต่เริ่มที่ปี 5 ก่อนโครงการอบรมคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม เกิดจากญาณทัศนะที่ผุดพรายขึ้นมาเอง พอมีความคิดเข้ามาก็เริ่มเขียนโครงการ ติดต่อกลุ่มงานต่าง ๆ ขอให้ งดการเรียนการสอน 1 วัน จะทำโครงการวันศุกร์และเสาร์ พอ นศพ.ปี 5 สอบเสร็จวันพฤหัสบดีจะได้มีอิสระมากพอเข้าโครงการอบรม เขียนโครงการเสร็จเสนอศูนย์แพทยศาสตร์ ขอใช้งบสำหรับจัดการอบรมโครงการผ่านไปได้ด้วยดี เดิมศูนย์แพทย์ ฯ เอง ยังกังวลว่าหน่วยที่ฝึกปฏิบัติ นศพ. ปี 5 จะไม่ยอมปล่อย นศพ. มาเข้า โครงการ พอโครงการอนุมัติโดยผู้อำนวยการแล้ว ปรากฎว่าคราวนี้ถูกทดสอบจากสิ่งที่มองไม่เห็นทันที โครงการจะเริ่มศุกร์เช้าด้วยการฟังอย่างตั้งใจและไม่ตัดสิน ตอนบ่ายหลังจากผ่อนคลายแล้ว ให้ฟังบรรยายของนกไฟที่เคยมาบรรยายให้ในการประชุมวิชาการที่ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เมื่อ 20 มิถุนายน 2550 หัวข้อ การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หลังจากดูวีซีดีจบแล้ว มีการพูดผ่านกระบวนการกลุ่มเพื่อให้ นศพ. เข้าใจคำว่าจิตวิญญาณเพียงพอต่อการเข้าไปพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติ โดยตอนค่ำของวันศุกร์จะมาพูดคุยกันในประเด็น การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ ตอนเช้าวันเสาร์จะตั้งวงคุยกันในประเด็น “แพทย์ที่ดีเป็นอย่างไรในสายตา ผู้รับบริการ” ใช้ Fish Bowl (นศพ. นั่งล้อมรอบพยาบาลและผู้ป่วย) โดยเชิญพยาบาลและผู้ป่วยของศูนย์แพทย์ชุมชน ที่ผ่านกระบวนการสุนทรียสนทนา มาสะท้อนประเด็นให้ นศพ. ได้ฟัง ภาคบ่ายของวันเสาร์หลังจากผ่อนคลายแล้วจะให้ นศพ. สรุปผลของ โครงการเพื่อปรับปรุงในปีต่อไปหรือจัดต่อให้ เมื่อพวกเขาเป็น นศพ. ปี 6 มีการแจกเอกสารเรื่องจริยธรรมแห่งวิชาชีพแพทย์ให้ นศพ. ไปอ่านเอง และเอกสารซึ่งเป็นข้อความพระราชดำรัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งใช้เปิดประเด็นการคุยกันในวันเสาร์เช้า เช่น “ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอเป็นเพียงหมอ เท่านั้น แต่ฉันต้องการให้พวกเธอมีความเป็นมนุษย์ด้วย” ถูกทดสอบโดยหลังจากโครงการผ่านไปได้โดยง่าย ติดต่อขอความร่วมมือใครก็สะดวกไปหมด แต่พอจะจัดอบรมเข้าจริง ๆ ห้องประชุมที่เคยใช้จัดอบรมสุนทรียสนทนาให้เจ้าหน้าที่ทุกวันศุกร์ เกิดมีความจำเป็นต้องใช้กับกิจกรรมอื่น ปรากฎว่า นศพ. ต้องย้ายห้องประชุม ทั้งเช้า บ่าย ค่ำ ของวันศุกร์ วันเสาร์เช้าจึงได้มาใช้ห้องประชุมที่คิดไว้ตั้งแต่แรก เรื่องห้องประชุมผ่านไป เดิมจะร่วมเป็นกระบวนกรตอนเช้ากับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เพราะนำ นศพ. ไปร่วมจัดกับเจ้าหน้าที่เลยคิดว่าจะไปช่วยเป็นกระบวนกรอีก 1 คน แต่หมอที่ออก OPD เกิด ติดธุระด่วนต้องให้ไปออก OPD แทน เลยอดเป็นกระบวนกรแต่ตอนบ่าย ตอนค่ำ ของวันศุกร์ เป็นกระบวนกรคนเดียวเลยเพราะคนอื่นไม่ว่าง ส่วนวันเสาร์เดิมไม่ทราบว่าลูกชายที่อยู่กรุงเทพมีกิจกรรมต้องให้ไปร่วมด้วย แต่เมื่อโครงการดำเนินไปจนครบขั้นตอนแล้วจะเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ เลยต้องตัดใจไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมกับลูกชายที่กรุงเทพ กิจกรรมที่จัดให้ก็ไม่ได้วางแผนตายตัวมากนัก คิดว่าใช้ญาณทัศนะในเวลานั้นให้เป็นไปตามสถานการณ์ การจัดประชุมร่วมกันของผู้เป็นกระบวนกร จึงไปพูดคุยกันในเวลาทำกิจกรรม เป็นความรู้สึกที่แปลกไปอีกแบบที่เดิมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แต่คราวนี้รู้สึกวางใจในทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องและวางใจในสถานการณ์จึงไม่รู้สึกกังวลใด ๆ ผลการอบรม เสียงตอบรับจากนักศึกษาดีมาก เป็นการเปิดมุมมองทางการแพทย์ที่นักศึกษาไม่เคยสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องการฟังผู้อื่น การใส่ใจในการดูแลผู้อื่น การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม
นศพ.ปี 5 ประเมินโครงการทั้งด้วยคำพูดและการเขียนในวันสุดท้ายที่ใช้เป็นประจักษ์พยาน ความดีของโครงการ นึกไปแล้วโครงการดี ๆ อย่างนี้เกิดได้เพราะมีแรงบันดาลใจจากบทความของนกไฟนี่เอง เนื่องจากลำพังงานที่ทำกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็มีมากพออยู่แล้ว แต่พออ่านบทความที่เกี่ยวกับ นศพ. จึงอยากทำโครงการนี้ และที่ลืมเสียมิได้คงต้องเป็นผู้ร่วมวงสนทนา “แพทย์ที่ดีเป็นอย่างไรในสายตาผู้รับบริการ” มาร่วมงานกันด้วยใจเชื้อเชิญมาร่วมเป็นจิตอาสาช่วยกันนำพาคุณธรรม และจริยธรรมทางการแพทย์ผ่านกระบวนการกลุ่ม ผู้ป่วยเล่าทั้งความประทับใจและไม่ประทับใจการบริการของแพทย์ พยาบาลบางคนที่มาร่วมงานได้เปิดใจเล่า ประสบการณ์ การเป็นผู้รับบริการ เล่าไปน้ำตาไหลไป เล่นเอา นศพ. ประทับใจกันไปหลายคนและคงจดจำไปอีกนานมีคำพูดและข้อเขียนดี ๆ จาก นศพ. หลายคนแต่ขอนำมาเป็นตัวอย่าง 3 สักคน ที่อ่านแล้วรู้สึกเขียนเป็นร้อยแก้วได้ดี ส่วนคนอื่น ๆ จะเขียนเป็นข้อ ๆ ตามความคุ้นเคยของการเขียนรายงานหรือนำเสนอข้อมูลของนศพ.
สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ครั้งนี้
เป็นวิธีการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่ต่างออกไปจากเดิม มีคุณลักษณะผ่อนคลาย สบาย ช้า และเยือกเย็น เป็นการเรียนรู้ในระบบกลุ่มได้แลกเปลี่ยนความคิดได้ฝึกการฟัง , ฝึกการพูด , และฝึกความคิดหัวข้อจริยธรรมทางการแพทย์ ถูกยกขึ้นมากล่าวถึงมากขึ้น เนื่องด้วยสภาพสังคมที่คาดหวังกับอาชีพแพทย์ไว้สูง หากมีความผิดพลาดย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจของผู้รับบริการได้มาก การได้เรียนรู้ เพื่อรับทราบและหาวิธีแก้ไขปัญหาบางประการ เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับนึกศึกษาแพทย์
การเรียนรู้จากตำรา หรือ การสอนในห้องเรียนอาจไม่เพียงพอสำหรับหัวข้อจริยธรรมทางการแพทย์ การได้เรียนรู้แบบกลุ่มกับผู้รับบริการ ผู้ร่วมงานในสหวิชาชีพและตัวของแพทย์เอง ย่อมเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จะได้เรียนรู้
สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์เข้าค่ายใน 2 วันนี้
เริ่มต้นนับตั้งแต่ที่ได้มาเรียนหมอ ก่อนที่จะเข้ามาเรียนหมอนั้นก็ใฝ่ฝันมากว่าวันนึงจะเป็นหมอ เพื่อให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ ได้มีอาชีพที่ฐานะมั่นคง ได้ช่วยเหลือได้ทำประโยชน์เพื่อสังคม เป็นภาพในฝันที่สวยหรูแต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้เข้ามาเรียนรู้ ได้สัมผัส จึงเข้าใจว่าอาชีพหมอนั้นไม่ง่าย ไม่ได้สวยหรูเหมือนที่เคยเข้าใจตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนที่หนักมาก ๆ ทุกอย่างบีบบังคับให้เราต้องรับผิดชอบ รวมถึงต้องแข่งกัน มากมาย ไม่เฉพาะแค่ 6 ปีนี้ เมื่อจบออกไปอยากไปเรียนต่อเฉพาะทางก็ต้องแข่งขัน ตบตีแย่งชิง รวมถึงสภาพแวดล้อมการทำงานที่ต้องแข่งกับเวลาทุกคนตั้งความหวัง ฝากความหวังไว้ที่หมอ บางครั้งเราทำดีที่สุดแล้ว ยังอาจได้รับเรื่องร้องเรียนการฟ้องร้อง ทำให้เริ่มคิดว่า ทำไมคนดีจึงไม่ได้ดี เจตนาเราดีต้องการช่วยเหลือคนไข้ แต่เมื่อผิดพลาดไปบ้าง (ซึ่งสาเหตุบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้) กลับได้รับการตอบสนองแบบนี้ผ่านมาถึงวันนี้ เรียนหมอมา 5 ปี จากความคิดที่สวยหรูเมื่อตอนเด็ก ๆ ได้ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้วยอมรับว่าเคยคิดจะ ลาออกไปหลายต่อหลายครั้ง ท้อแท้ ไม่อยากเรียนต่อ คิดว่าอาชีพนี้ไม่เหมาะสมกับเราจริง ๆ ร้องไห้ โทษตัวเอง โทษฟ้า ที่ลิขิตให้เราต้องมาเรียนหมอ
จนเมื่อได้มีโครงการนี้ได้กล่าวถึงเรื่องของหมอที่ลาออกกันมากมาย และวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการให้หมอได้ภาคภูมิใจในวิชาชีพของตัวเอง , รักในงานที่ตัวเองทำ รู้สึกว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ อาจทำให้เราเปลี่ยนความคิดก็ได้ เริ่มต้นวันแรกด้วยการสอนเรื่องการรับฟังอย่างตั้งใจและไม่ตัดสิน ถือเป็นการเริ่มได้ดีมาก ให้ลองเปลี่ยนจากที่มักพูดและเวลาฟังจะเอาแต่ตัดสินผู้อื่นก็ได้ลองรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่รับรู้มุมมองของคนอื่นบ้าง ที่ประทับใจมากที่สุดของโครงการนี้ คือ วันที่ 2 ที่ได้รับฟังเรื่องเล่าประสบการณ์จากทั้งผู้ให้และ ผู้รับบริการ ได้กระตุ้นเตือนว่าอาชีพเรานั้นมีหน้าที่รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ เป็นอาชีพที่ได้ทำบุญอยู่ทุกวัน ถ้าเรา ดูแลคนไข้ของเราให้ดี ด้วยความเมตตายอมรับว่ามุมมองนี้ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อกับอาชีพนี้ รวมถึงเรื่องของการปฏิบัติธรรม ซึ่งเมื่อก่อนจะสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน (วันละ 1 ชั่วโมง) แต่ในช่วง 2 – 3 ปีมานี้ ด้วยเวลาที่ไม่ค่อยมี ต้องรับผิดชอบหลาย ๆ อย่าง ก็ทำให้ไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่เคยทำ ตั้งใจว่า เมื่อจบจากค่ายนี้ไปจะกลับไป ฝึกสมาธิเพราะที่วิทยากรให้ลองนั่ง รู้สึกได้เลยว่าจิตใจเรายังฟุ้งซ่านมาก ๆ อยากกลับไปเป็นคนเก่าแบบเดิมอยากให้ค่ายนี้มีการจัดให้นั่งสมาธิ , ปฏิบัติธรรม อย่างเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ
สิ่งที่ได้จากการมาอยู่ค่ายจริยธรรม
ได้มานั่งทบทวนใช้เวลากับตัวเอง มาทำความรู้จักตัวเอง วันแต่ละวันที่เปลี่ยนไปมีแต่ความเร่งรีบ และจำเจ แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสค่าย พบว่า กิจกรรมแรกที่ได้ทำ คือการทำสมาธิ ช่วงแรกมันเป็นช่วงที่ทำยากเพราะเหมือนเราจับเอาจิตที่ไม่นิ่ง ไม่สงบ มาทำให้สงบ เป็นความรู้สึกที่ดี และได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันระหว่างเพื่อนฝูง และบุคคลที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เราได้ประสบการณ์และสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าสามารถ นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตตนเองได้ ที่สำคัญได้รู้ว่าการที่เราเป็นผู้ฟัง ที่ไม่ได้ตัดสิน ความพูดความอื่น หรือสอดแทรกผู้อื่น ทำให้เราได้รู้แนวคิดของคน ๆ หนึ่ง แล้วทำให้เราสามารถระงับตัวเองให้ไม่คั่น หรือแทรกผู้อื่น
พอตอนเย็นได้ไปสัมผัสคนไข้จริง ๆ เราก็ได้ไปซักประวัติตรวจร่างกาย และได้มาร่วมอภิปรายกัน บาง case ทำให้เรารู้ว่าถ้าเราแก้ตัวโรคได้แต่เราไม่เยียวยาหัวใจ คนไข้ก็ยังไม่หายจากการเป็นโรค หรือคนไข้บางคนเพียงต้องการกำลังใจเท่านั้น
วันนี้เป็นวันที่สอง เป็นวันสุดท้ายของการเข้าค่ายแล้วสิ เราได้มารับฟัง คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา เล่าประสบการณ์และอุดมคติเกี่ยวกับอาชีพหมอ เป็นการมองตัวเองในมุมกลับซึ่งทุกคนย่อมอยากได้การบริการที่ดี ต้องการการสื่อสารที่ดี ต้องการการเอาใจใส่จากแพทย์ผู้ตรวจ ซึ่งอาจต้องมีข้อจำกัดบางอย่าง ทำให้แพทย์ในปัจจุบันมองข้ามปัญหานี้ไป วันนี้พอมาได้ยิน คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา พูดมันทำให้เราเห็นความสำคัญ ว่าคนบางคนไม่ได้ต้องการเพียงยากลับไปกินเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ อาจจะเป็นคำพูด หรือการสัมผัสก็ตามแต่
การเล่าประสบการณ์ทำให้ทราบว่า
“คนเรามอง หมอ ว่าเป็นที่พึ่ง ยังไม่ละทิ้งความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่า การที่มาหาหมอทุกคน ภาวะการเจ็บป่วยคนไข้จะต้องหาย”
หมอเหมือนเป็นความหวังของประชาชนชาวไทย
“Commend ค่าย” เป็นกิจกรรมที่น่าจัดเพราะทำให้เราได้ทราบมุมมองของคนที่เป็นผู้รับบริการ ที่มองการกระทำของคนที่ให้บริการ ประโยชน์ก็ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้คนแต่ละคน เพราะมันเป็นศิลป” จัดให้ น้อง ๆ ต่อนะค่ะ