ปราชญ์พิจิตรสุดฮอต
นักวิชาการลงพื้นสร้างมาตรฐานต่อยอดองค์ความรู้ชาวบ้าน
จากปัญหาดังกล่าว สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
(สคส.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิชาการ นำโดย
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผอ.สคส. และ ศ.ดร.วิชัย บุญแสง
ผอ.ฝ่ายวิชาการ สกว.จึงจัดกิจกรรมสัญจรพานักวิชาการอาวุโสด้านต่าง ๆ
และนักวิจัย ลงพื้นที่ดูภูมิปัญญา องค์ความรู้ของเกษตรกร 4 กลุ่ม 4
พื้นที่ในจังหวัดพิจิตร
เพื่อทางต่อยอดสร้างมาตรฐานขององค์ความรู้ชาวบ้านให้เป็นที่ยอมรับ
มีการพัฒนาและปรับปรุงให้ได้มาตรฐานมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้
สร้างความภูมิใจให้กับชาวบ้านเจ้าต้นตอขององค์ความรู้นั้น ๆ
และสามารถขยายผลให้มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถลด ละ เลิก การใช้สารเคมี
ลดต้นทุนการผลิต
และสามารถสร้างสุขภาวะที่ดีแก่ผู้บริโภคและสังคมได้ในที่สุด
เมื่อเกษตรสามารถผลิตอาหารปลอดภัยกันอย่างกว้างขวาง
ซึ่งความสำเร็จของการขยายเครือข่ายเกษตรกร
ทำให้เกษตรกรมีสุขภาวะที่ดีขึ้น อีกทั้งยังเกิดการรวมกลุ่มกันเรียนรู้
และพัฒนาความรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นฐานทุนทางสังคม ทุนทางปัญญา
ของเครือข่ายเกษตรกร และเครือข่ายคนทำงาน เช่น ครู
,เจ้าหน้าที่สาธารณสุข กศน. , ผู้นำเกษตรกร,ปราชญ์ชาวบ้านฯลฯ
ที่มีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นและเข้มแข็ง
ซึ่งปัจจัยสำคัญคือมีการใช้
“การจัดการความรู้” มีการบันทึกองค์ความรู้
สูตรจุลินทรีย์, ปุ๋ยชีวภาพ ,สมุนไพรไล่แมลง และการพัฒนาพันธุ์ข้าว
โดยมีการรวบรวมองค์ความรู้
ผ่านการตรวจสอบและประเมินว่ามีความสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามในด้านความร่วมมือจากภาคราชการในพื้นที่
นายพินิจ พิชยกัลป์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า
เครือข่ายประชาคมจังหวัดพิจิตรที่เดินเรื่องการผลิตอาหารปลอดภัย
ด้วยการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์นั้น
ความจริงก็สอดคล้องและตรงกับยุทธศาสตร์ของจังหวัด
และยุทธศาสตร์ชาติที่ว่าด้วยเรื่องอาหารปลอดภัย และการเป็นครัวของโลก
ซึ่งทางจังหวัดพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และจะมีการนำมาพูดคุยในเวทีระดับจังหวัด
รวมทั้งจะมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มเครือข่ายเกษตรต่าง ๆ
ในพื้นที่เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันต่อไป
ด้าน ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผอ.สคส.
กล่าวว่า การพบกันระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย และกลุ่มเกษตร
ปราชญ์ชาวบ้าน
เป็นมิติใหม่ของการทำงานวิจัยที่ต้องการให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงและในเวลาไม่นาน
นักวิจัยจึงต้องมาต่อยอดความรู้ของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็ก
ๆ น้อย ๆ นักวิจัยจึงมักละเลย และหันไปทำเรื่องใหญ่ ๆ
แม้อาจจะไม่ได้มีการใช้ประโยชน์โดยได้ทันทีก็ตาม
จึงเป็นโอกาสดีที่จะกระตุ้นให้เกิดการวิจัยลักษณะนี้ให้มากขึ้น
ซึ่งการทำงานของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้พบว่ามีกลุ่มปราชญ์ชาวบ้านจำนวนอยู่ในท้องถิ่นและมีการเก็บรวบรวมองค์ความรู้อยู่แล้วในระดับหนึ่งและต้องการการเสริมแรงจากนักวิชาการ/นักวิจัย
และยังช่วยเสริมแรงให้ขบวนการจัดการความรู้ของสังคมไทยเคลื่อนไปได้มากขึ้น. |
ไม่มีความเห็น