มีการพูดกันมาก วิภาควิจารณ์กันมากว่า หลักสูตรต่างๆที่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนในระดับมหาวิทยาลันนั้น สอดคล้องกับสังคมภายนอกมากแค่ไหน สถาบันการศึกษา เตรียมคนออกไปเผชิญการใช้ชีวิตในสังคมจริงมากแค่ไหน ดูจะเป็นคำถามที่ตอบกันไม่ได้เต็มปากนัก เพราะอะไรหรือครับ
ผู้บันทึกเองก็พูดกับน้องๆที่มาฝึกงาน หรือแม้แต่ลูกหลานตัวเองก็ตามว่า เมื่อเธอเข้าไปสู่สังคมอุดมศึกษาเขาเรียกเธอว่า Fresher หรือ Freshy หน้าตาบ้องแบ๊ว แต่สมัยนี้ไม่แบ๊วอย่างเดียว มีแอ๊บเข้าไปด้วย เป็นแอ๊บแบ๊ว ใครๆก็อยากรู้จัก สดใสน่ารัก เธอจึงเป็นของเล่นของพี่พี่ จับเอามาแหกปาก เอาป้ายห้อยคอ สั่งให้ทำโน่นทำนี่ จนทั้งขื่นและขำ
พอปีสองก็เรียก Sophomore กระโดดเข้ามาแทนที่พี่เมื่อปีก่อนๆ ทำเหมือนกันหมด อาจจะมากขึ้น พิสดารมากขึ้น นัยว่าสร้างสรรค์ พอปีสามเรียก Junior เรียนหนัก แทบจะไม่เห็นหน้าตา และพอเป็นพี่ใหญ่ใครๆก็เรียก Senior ดูเป็นผู้ใหญ่ คอยสั่งสอนน้องๆ และเริ่มคุยกันถึงว่า เออ จบแล้วจะไปทำอะไรที่ไหน ส่วนใหญ่ก็ไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไปตามดวงอะไรทำนองนั้น มีน้อยคนที่มีเป้าชัดเจน
แต่เมื่อวันที่เขาจบออกมา และก้าวเข้ามาร่วมงานกับเรา โอย แม่เจ้า.. เธอกลับมาเป็น Fresher หรือ Freshy อีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นในสังคมใหม่ สังคมใหญ่ และสังคมที่เป็นจริง คือสังคมการทำงาน
ให้ตายสิอ้าว..ต้องจับเธอเข้า Course ใหม่อีกครั้งหนึ่งถึงเรื่องการทำงานในสังคมจริง ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถที่ได้มาจากห้องเรียนมาใช้ทำงาน ผลิตงานออกมาตามภาระหน้าที่ ต้องรีดเอาพลังความรู้ออกมาสร้างสรรค์งานให้ก้าวกระโดดออกไป นำสิ่งใหม่ๆออกมาเสริมสร้างส่วนที่องค์กรสึกหรอให้ดีเช่นเดิม หรือดีมากขึ้นกว่าเดิม เปล่า..เธอหรือเขากลับมาเป็นภาระขององค์กรที่ต้องหอบหิ้ว ถูลู่ถูกังไป พูดตามภาษาวิชาการการศึกษาคือ On The Job Training ไปข้างหน้า
ผมคิดว่าเป็นปกติธรรมดา ย้อนกลับไปสมัยที่เราออกไปทำงานใหม่ๆนั้นปะไร เราเป็นผลผลิตเดือนตุลา ออกไปทำงานพัฒนาชนบทเหมือนถือคัมภีร์ “Selected Work of Mao” ออกไปด้วย และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สารพัดที่มาเอื้อต่องานที่ทำ เพียงหวังเอาสรรพความรู้ไปแก้ไขปัญหาชนบท ซึ่งก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะอ่อนหัด ไม่เข้าใจว่าปัญหานั้นมันซับซ้อนมากกว่าที่เราเห็น มันไม่ได้มีเพียงปัจจัยเดียวที่เราจะไปปลดล็อค แต่ที่ต่างจากยุคแอ๊บแบ๊วนี่ก็คือ เราต่างเรียนรู้ตลอดเวลา ว่างก็สุมหัวกันคุยกันถึงงานที่เธอทำ ที่ฉันทำ ว่างก็สัมมนาทั้งวงเล็กวงใหญ่ ว่างก็ไปเยี่ยมเพื่อนฝูงที่ทำงานที่โน่นที่นี่ ต่างเอาประเด็นไปแลกเปลี่ยนกัน เอารุ่นพี่พีที่ทำงานมาก่อนมาเล่าให้ฟัง เชิญผู้รู้มาเติมความก้าวหน้าในทางวิชาการ ความคิด ประสบการณ์ เข้าร้านหนังสือมองหาหนังสือใหม่ๆทางวิชาการ ประสบการณ์ มาเสริมสร้างความมั่นอกมั่นใจที่กลับเข้าหมู่บ้านไปทำงานต่อไปอีก
มันมีความสุขที่ได้พบเพื่อนที่ทำงานต่างที่ ต่างองค์กร ต่างบทบาท ต่างโครงการ มาแลกเปลี่ยนกัน ได้เข้าใจโลกมากกว่าหมู่บ้านที่เราเห็น เข้าใจสังคมกว้างมากขึ้นกว่าที่เราประสบ เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า แค่ไหน อย่างไร ขาดอะไร และจะต้องเติมอะไร โดยไม่รอช้า เพราะหมายมั่นว่า เจ้าปัญหาที่เผชิญอยู่ในหมู่บ้านนั้นมันจะต้องมีทางออก
การพบปะกันแบบไม่เป็นทางการดังกล่าวนี้ก่อเกิดประโยชน์มหาศาลอย่างไม่รู้ตัว เป็นการระดมความหลากหลายของความรู้ ประสบการณ์มาแผ่หลาอ้าซ่า ให้ใครต่อใครเก็บกำเอาไปได้อย่างอิสรเสรี จึงเกิดการเรียนรู้ข้ามสาขาวิชามากมายอย่างที่ไม่มีการเรียนการสอนในสถาบัน จึงเกิดการแลกเปลี่ยนต่อประเด็นหนึ่งจากมุมมองที่แตกต่างสาขาวิชา และจากประสบการณ์ตรงเสียด้วย มาเสียเวลา 2 วัน 3 วันในการชุมนุมแลกเปลี่ยนอย่างนั้น อาจจะได้มากกว่าเรียนจากห้องเรียนทั้งเทอมก็ได้ เพราะบางห้องเรียนก็เอาหนังสือไปอ่านก็ไม่ต่างกันหรอก แต่การพบปะกัน ชุมนุมกันของคนพันธุ์ อิอิ ที่ท่านครูบากล่าวถึง สิ่งที่ได้มากกว่า คือ เกิดความผูกพันทางใจแก่กัน เกิดการหล่อหลอมจิตใจแก่กันและกัน เติมให้แก่กัน
ท่านครับภาพแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้หาได้ที่ “นอนกลางดิน กินกลางป่ากับเฮฮาศาสตร์ 3 ดงหลวง 16-18 พ.ย. 50” เท่านั้น อิ.อิ.
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณครู
อิอิ ตอนนี้ยัง freshy อยู่อ่ะค่ะ
จะไม่ดื้อ ไม่ซน เป็นเด็กดีกว่าคนข้างบนค๊า..
อิอิ เกทับ กันเห็นๆ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
ตามพี่สาวข้างบนมาติด ๆ กลัวไม่ให้น้อยหน้ากัน
พี่หนิงขา อย่างงี้ ถ้าเราสองคนตกดอย ใครจะช่วยเก็บเราหละคะ ว่าแต่งานนี้ ถ้าเราสองคนไป อย่ายอมให้พี่สะมะนึกะ มาเดินเฉียดใกล้เราเลยนะคะพี่หนิง
เดี๋ยวจะกลายเป็น ศูนย์ หนึ่ง ศูนย์
ว่าไงค่ะ พี่สะมะนึกะ
แฮะ แฮะ ท่าน สะ-มะ-นึ-กะ
พี่สะมะนึกะขา
ไว้ถ้าได้ไปดงหลวง แล้วอากาศเกิดเย็นแบบจับใจ ถ้าใครไม่ได้เอาเสื้อหนาวมา หรือมาเดี่ยว ไม่ได้มาคู่ แบบพี่สะมะนึกะ หละก้อ อนุญาติให้มาซึมซับแคลอรี่ จากพวกเราได้นะคะ ยังไงก็อย่าถึงกับต้องลนน้ำมัน (พราย) กันเลยนะคะ
หนูขอร้อง
เอ่อ พี่บางทรายค่ะ
นอกจากเต็นท์จะต้องมีขนาดใหญ่ยักษ์เป็นพิเศษแล้ว ระบบเก็บเสียงต้องดีมาก ๆเลยนะคะ ไม่งั้น กลัวสัตว์ป่าต๊ก กะ ใจ หนะคะ
อ้อ เต็นท์นี้ ยินดีต้องรับพี่อึ่งอ๊อบ ร่วมเป็นสมาชิกด้วยนะคะ รับรองว่า งานนี้ เราจะสร้าง melody ใหม่ ๆ กล่อมป่าเลยค่ะ
อิอิ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
หนูมีทางออกดีกว่านั้นค่ะ กะว่า ถ้าได้ไปนะ ก็จะเข้ากลุ่มรอบกองไฟ มันทุกกลุ่มเลย กะจะนั่งคุยจนทุก ๆหลับ แล้วเราค่อยหลับสุดท้าย ดีไหมค่ะ
อ้อ ถ้ามีอุโมงวิเศษแบบนี้ หนูกลัวว่า จะมีคนเข้ามานอนในอุโมง กว่าครึ่งแน่ค่ะ
อิอิ
สวัสดี อ. คุณ รัตติยา เขียวแป้น