กระบวนการวิจัยเชิงประจักษ์ที่มีการบันทึกไว้ในตำราคือ (1) การสังเกต เกิดปัญหา และตั้งคำถาม (2) ตั้งสมมติฐาน(การวิจัยบางประเภทไม่มีสมมติฐาน) (3) เก็บรวบรวมข้อมูล (4) การวิเคราะห์ข้อมูล (5)ตีความผลการวิเคราะและสรุปผล แต่คำถามข้างบนนี้เกี่ยวข้อกับกระบวนการข้อที่ (1) คำตอบน่าจะเป็นดังนี้
การสังเกต ย่อมหมายความว่า ต้องมีสิ่งให้สังเกต สิ่งที่มีให้สังเกตได้นั้นต้องเป็นวัตถุหรือกระบวนการ หรืออย่างน้อยต้องมีความเป็นไปได้ที่จะสังเกตได้ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ถ้าไม่มีสิ่งที่จะให้สังเกตได้ การสังเกตก็จะไม่เกิดขึ้น
นั่นก็คือ ถ้าสิ่งใดสังเกตไม่ได้ สิ่งนั้นก็อยู่นอกขอบเขตของการวิจัยเชิงประจักษ์
สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลาย เช่น ผี เทวดา ฯลฯ หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากจินตนาการของเขา เช่น พระอภัยมณี ม้านิลมังกร พระสังข์ทอง ฯลฯ อยู่นอกขอบเขตของการวิจัยเชิงประจักษ์
ปัญหาจึงมีว่า ทำไมต้องขีดกรอบขังตัวเองอย่างนี้ ?
คำตอบก็คือ การวิจัยเชิงประจักษ์เป็นเครื่องมือค้นหาความรู้ของสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคม ที่มีความเชื่อพื้นฐานว่า สิ่งใดมีอยู่จริง สิ่งนั้นต้องสังเกตได้ หรือมีความเป็นไปได้ที่จะสังเกต หาไม่แล้ว สิ่งนั้นหามีไม่ ดังนั้น เครื่องมือในการค้นหาความรู้ของพวกเขา ซึ่งก็คือการวิจัยเชิงประจักษ์ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการสังเกต ครับ
ดังนั้น ถ้าท่านจะวิจัยว่า พระอภัยมณีมีลูกกี่คน แล้วละก้อ ท่านจะต้องลาออกจากสมาชิกสาขาวิทยาศาสตร์เสียก่อนนะครับ
การที่คุณทำกับเด็กผมเข้าใจว่าคุณสอนโดยให้เด็กสังเกต แล้วบันทึกสิ่งที่สังเกตไว้ การทำเช่นนั้น เป็นการนำความรู้จากการวิจัยไปใช้ในการสอน และสอดคล้องแนวคิดเด็กเป็นผู้เรียนเอง เด็กสำคัญที่สุดที่พูดๆกันครับ
ขอบคุณที่ให้ภาพน่าเอ็นดูไว้ทุกที่ด้วยครับ คิดว่าคุณจะกลายเป็นนักการศึกษาที่มีชื่อเสียงในภายภาคหน้าแน่นอนครับ ขออวยพร